น้ำหายไปไหน?

สัปดาห์ที่แล้วพูดถึงระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์เอาไว้ และผมยังได้บอกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน
หรือเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถยนต์ส่วนมากในโลกนี้ เลือกใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบปิดหรือแบบไหลวนเพราะได้ผลดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันระบบระบายความร้อนด้วยน้ำแบบไหลวนนี้ ก็เป็นระบบที่มีชิ้นส่วนมากและมีจุดอ่อนที่ต้องดูแล มากกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
เมื่อระบบระบายความร้อนด้วยน้ำไหลวนเกิดบกพร่องขึ้นมา อาการแรกที่มักจะถูกค้นพบก่อนอาการอื่นก็คือ น้ำในระบบระบายความร้อนหายหรือพร่องไปจากระบบ บางครั้งพร่องไปไม่มากนักและยังไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย แต่ช่างหรือผู้ใช้รถพบต้นสายปลายเหตุก่อนก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่บางครั้งกว่าจะรู้ตัวว่าระบบระบายความร้อนหรือเครื่องยนต์มีปัญหา ก็ต่อเมื่อเครื่องยนต์ดับลงขณะทำงานที่เรียกกันว่าเครื่องน็อค และพบว่าน้ำหายไปจากระบบจนเกลี้ยง
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คนทั่วไปส่วนใหญ่จะกล่าวโทษว่า เครื่องยนต์เสียหายหรือพังลงไปเพราะ “น้ำแห้ง” และช่างก็จะจัดการซ่อมเครื่องยนต์ที่เสียหายเพราะความร้อน แล้วจึงส่งมอบรถให้กับเจ้าของนำกลับไปใช้งานต่อไป แทนที่จะตรวจสอบหาสาเหตุให้ละเอียดว่า การที่เครื่องยนต์ร้อนจัดจนดับและน้ำหายไปจากระบบนั้น ต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงคืออะไรเกิดจากอะไร จะได้ทำการแก้ไขหรือซ่อมบำรุงได้ถูกจุดจนหมดปัญหาอย่างแท้จริง
เพราะอาการดังกล่าวนั้นมีจุดเริ่มต้นได้จากทั้ง 2 ฝั่ง อย่างแรกเกิดจากเครื่องยนต์ผิดปรกติจนเกิดความร้อนสูงจัดขึ้นมาก่อน ทั้งที่ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำไหลวนยังทำงานตามปรกติ เช่น ใช้น้ำมันเครื่องคุณภาพต่ำหรือน้ำมันเครื่องปลอม ทำให้ชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนไหวมีการเสียดสีกันจนเกิดความร้อนสูง หรือขับรถด้วยการให้เครื่องยนต์ทำงานในรอบสูงจัดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเกิดจากการขับรถแบบลากเกียร์ต่ำยาวนาน หรือบรรทุกสิ่งของซึ่งมีน้ำหนักมากเกินกว่าเครื่องยนต์จะรับไหว หรือต้องขับรถขึ้นทางสูงชันเป็นระยะทางยาวโดยไม่หยุดพักเครื่องยนต์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นต้นเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์เกิดความร้อนสูงจัด ทั้งที่ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำยังทำงานเป็นปรกติ
แต่เมื่อความร้อนของเครื่องยนต์สูงจัดขึ้น ก็ทำให้น้ำที่ร้อนมากกว่าปรกติเกิดการระเหย และลดปริมาณลงจนไม่เพียงพอต่อการระบายความร้อนหรือจนแห้งไปจากระบบ เมื่อช่างเห็นว่าในหม้อน้ำไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยหรือมีน้อย ก็อาจจะเดาเอาว่าน้ำรั่วหายไปจากระบบหรือเป็นความผิดปรกติของระบบน้ำจึงทำให้เครื่องยนต์ร้อน ทำให้แก้ไขหรือซ่อมผิดจุดเมื่อนำรถกลับไปใช้งานอีกก็จะเกิดความร้อนสูงขึ้นมาอีกได้เช่นกัน
แต่หลายครั้งต้นเหตุก็เกิดขึ้นที่ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำก่อน แล้วจึงส่งผลให้เครื่องยนต์เสียหาย เช่น มีการรั่วของน้ำจากจุดใดจุดหนึ่งในระบบ โดยที่พบมากที่สุดคือบริเวณรอยต่อของท่อยางหม้อน้ำ ถัดมาก็มักจะพบว่ามีรอยรั่วเกิดขึ้นบริเวณรังผึ้งหม้อน้ำ หรือรอยรั่วระหว่างรอยต่อของฝาครอบหม้อน้ำกับตัวรังผึ้งหม้อน้ำ และจุดที่พบมากอีกแห่งหนึ่งก็คือรอยรั่วจากปลั๊กหรือที่เรียกกันว่าตาน้ำบริเวณข้างเสื้อสูบ
ความบกพร่องจากระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่พบมากเช่นกันคือ พัดลมสำหรับระบายความร้อนบริเวณรังผึ้งหม้อน้ำบกพร่อง, ครีบหม้อน้ำอุดตันด้วยเศษซากตัวแมลงหรือสิ่งสกปรกอื่นๆ หรือครีบหม้อน้ำซึ่งทำจากอะลูมิเนียมชนิดเนื้ออ่อนพับล้ม ทำให้ลมไม่สามารถพัดผ่านเพื่อระบายความร้อนออกไปได้ และท้ายที่สุดที่ช่างส่วนมากมองข้ามไปก็คือ ฝาหม้อน้ำไม่ทำหน้าที่เปิดยกตัวเพื่อถ่ายน้ำไปยังหม้อพักน้ำเมื่อมีความร้อน และไม่ยกตัวเพื่อให้สุญญากาศดูดน้ำจากหม้อพักน้ำกลับมาเข้าหม้อน้ำตามเดิม
แต่ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไรก่อนก็ตาม เครื่องยนต์ที่มีความร้อนสูงมากกว่าปรกติ จะมีการสึกหรอและมีผลกระทบต่อชิ้นส่วนต่างๆ ในวงกว้าง ซึ่งยากต่อการที่จะซ่อมให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับก่อนเกิดความร้อนสูงได้ เจ้าของรถยนต์หรือคนขับจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังปัญหาความร้อนสูงไม่ให้เกิดขึ้น
วิธีการง่ายๆที่สามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองแม้จะไม่มีความรู้ทางด้านช่างเลยก็ตามคือ เมื่อขับรถทุกครั้งให้หมั่นสังเกตเกจ์วัดความร้อนเอาไว้เสมอๆ และหมั่นตรวจสอบปริมาณของน้ำในระบบอยู่เสมอๆ โดยต้องตรวจสอบดูทั้งในหม้อน้ำและในหม้อพักน้ำ รถยนต์ใหม่ๆ ที่อายุการใช้งานยังไม่ถึง 2 ปี หรือผ่านการใช้งานมายังไม่ถึง 5 หมื่น กม.ที่ใช้งานปรกติทั่วไป ให้ทำการตรวจสอบปริมาณของน้ำในระบบระบายความร้อนเดือนละ 1 ครั้งก็พอ
ส่วนรถยนต์ที่มีอายุใช้งานมากกว่านั้นหรือรถยนต์ที่ต้องใช้งานหนักกว่าปรกติ ให้ตรวจดูปริมาณน้ำทุกสัปดาห์และเมื่อพบว่าปริมาณน้ำลดลงไปจนถึงขั้นต้องเติมครั้งละเกินกว่า 200 ซีซี. ให้รีบนำรถไปหาช่างเพื่อตรวจหาสาเหตุทันที เพียงเท่านี้รถยนต์ของท่านก็จะหมดปัญหาเรื่องความร้อนสูงจัด หรือน้ำหายไปจากระบบจนทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้แล้วครับ







