หนี ม.112 ไม่ออก ศึกหนักสู้กระแสชาตินิยม

การเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ถึงวันนี้น่าจะพอมองออกแล้วว่า เป็นการชิงดำแย่งอันดับ 1 ระหว่าง พรรคส้ม หรือพรรคประชาชน (ปชน.) กับพรรคน้ำเงิน หรือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นหมายถึงเดิมพันสำคัญในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้ง 2569 อีกด้วย
เหตุผลสนับสนุนก็คือ จากผลการสำรวจกระแสความนิยม หรือ “โพล” พบว่า คะแนนนิยมในตัวนายกรัฐมนตรี และพรรคการเมืองของทั้งสองพรรค
แทบพูดได้ว่า หายใจรดต้นคอกันมาตลอด ในอันดับ 2 และ 3 ขณะที่อันดับ 1 ยังไม่มีทั้งคนและพรรคที่เหมาะสม ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงทิ้งห่างทั้งสองอันดับดังกล่าวอย่างมาก
นั่นหมายความว่า ทุกพรรคยังมีสิทธิ์ได้คะแนนจากอันดับ 1 โดยเฉพาะพรรคที่ 2 และ 3 ยังมีเวลาที่จะพลิกเกมสร้างกระแสให้กับตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจ หลังจาก “ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งถูกคาดหมายมาก่อนหน้านี้ว่า เป็น “ผู้นำ” ฝ่ายอนุรักษ์ใหม่ ถูกมรสุมชีวิตศาลฎีกาตัดสินให้กลับเข้าไปรับโทษ 1 ปีตามคำตัดสินของศาล และ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากนายกรัฐมนตรี คดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน เท่ากับว่าหัวขบวนฝ่ายอนุรักษ์ อาจต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์
โดยเฉพาะการได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย
แม้ว่า จะเป็นการได้รับการสนับสนุนแบบมี “เงื่อนไข” จากพรรคประชาชน แต่ก็ต้องยอมรับว่า หลังการจัดตั้งรัฐบาล และบริหารประเทศได้ไม่กี่เดือน จุดยืนและการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของ “อนุทิน” ทำให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเขานี่เอง คือ ผู้นำฝ่ายอนุรักษ์คนใหม่
ทั้งในแง่ของ ความไว้วางใจกองทัพ การให้ความร่วมมือกับกองทัพอย่างเป็นหนึ่งเดียว และเป็นทีมไทยแลนด์ การแสดงจุดยืนและบทบาทรักษาอธิปไตยไทย
เหนืออื่นใดต่อการสู้รบไทย-กัมพูชา คือความโดดเด่นของ “อนุทิน” ที่ทำเอากระแสความนิยมพุ่งขึ้นมาสูสี กับ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และทำให้พรรคภูมิใจไทย เริ่มมีกระแสความนิยมพรรคตามไปด้วย
อย่าลืมว่า พรรคประชาชน ก็คือ อดีตพรรคก้าวไกล ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 ได้ส.ส.151 ที่นั่ง ขณะพรรคเพื่อไทย ได้อันดับ 2 ได้ส.ส.141 ที่นั่ง การเลือกตั้งครั้งนี้(2569) พรรคประชาชนจึงอยู่ในฐานะแชมป์เก่า ที่มีพรรคภูมิใจไทย ท้าชิง นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ที่ต้องไม่ลืมก็คือ พรรคประชาชนสถาปนาตัวเอง เป็นพรรคก้าวหน้า มีอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ที่เป็นคนละขั้วกับ “ฝ่ายอนุรักษ์”
ยิ่งกว่านั้น ยังมีวาระที่จะเปลี่ยนแปลงการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ จนนำมาสู่นโยบายที่สุ่มเสี่ยงอันตราย และเล่นใหญ่เกินตัว ที่เห็นได้ชัด จากการเคลื่อนไหวมาตลอด ก็คือ การปฏิรูปสถาบันฯ ปฏิรูปกองทัพ และปัจจุบัน “หัวหน้าเท้ง” และสส.พรรคส้มหลายคน ก็แสดงออกถึงการต่อต้านกระแสชาตินิยม ที่ดูเหมือนสวนทางกับกระแสประชาชนผู้รักชาติตามไปด้วย
แล้วก็ไม่แปลก ที่จะทำให้กระแสความนิยมของ “เท้ง” ณัฐพงษ์ และพรรคประชาชนตกลงอย่างมาก ในช่วงการสู้รบไทย-กัมพูชา ที่กระแสชาตินิยมพุ่งสูง จากที่เคยทิ้งห่างมาตลอด
นี่ยังไม่รวมสถานการณ์เข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง 2569 ที่มีปัจจัยแทรกซ้อนมากมายตามมา และที่ประมาทไม่ได้ก็คือเกมการเมืองในการทำศึกเลือกตั้ง
พูดถึงพรรคประชาชน ในสถานการณ์เลือกตั้ง กรณีมีคดี 44 ส.ส. ข้อหาผิดจริยธรรมร้ายแรง อันเนื่องมาจากอดีตส.ส.พรรคก้าวไกล ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข ป.อาญา ม.112 จ่อคอหอย ก็นับว่าน่าสนใจ
เพราะหาก มีการชี้มูลความผิด โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และส่งเรื่องให้ศาลฎีกา ทันทีที่ศาลฎีกาประทับรับฟ้อง อดีต 44 สส.ก้าวไกล ซึ่งมาสังกัดพรรคประชาชนปัจจุบัน 25 คน ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีเช่นกัน
เรื่องนี้มีข่าวว่า “ป.ป.ช.” จะนำเข้าที่ประชุมใหญ่ เพื่อชี้มูลความผิดวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา แต่สุดท้ายต้องเลื่อนออกไป โดย ป.ป.ช. เผยสาเหตุเพราะพรรคประชาชน ทำเรื่องขอความเป็นธรรม จึงต้องนำเรื่องขอความเป็นธรรมมาพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรม และดูว่าเป็นเรื่องเก่าที่พิจารณาไปแล้วหรือไม่
ประเด็นก็คือ แม้ว่าขณะนี้มีการยุบสภา และส.ส.ทั้งหมดกลายเป็นอดีตสส. ดังนั้นการ “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ในทางกฎหมายจึงไม่มีผล แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่อดีตสส.ดังกล่าวได้รับเลือกตั้ง ก็จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้ เพราะจะเข้าข้อกฎหมายที่ว่า จนกว่าจะมีคำตัดสินของศาล และถ้าผิดก็หมดสิทธิ์อยู่ดี
ที่สำคัญ ทั้ง “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ “ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล “สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ของพรรคประชาชน ก็อยู่ในข่ายที่จะถูกชี้มูลด้วย ซึ่งถ้าถูกชี้มูลความผิด และผลการเลือกตั้งพรรคประชาชน ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ปัญหาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะตามมาทันที ทั้งเรื่องแคนดิเดตนายกฯที่เหลือคนเดียว สภาผู้แทนราษฎรจะเห็นชอบหรือไม่ รวมถึงส.ส.บางคนที่อยู่ในกลุ่ม44สส.หากได้รับเลือกตั้งเข้ามา ก็ต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จะเอาอย่างไร
แต่ “หัวหน้าเท้ง” ยืนยันแล้วว่า พรรคประชาชนจะไม่มีการปรับเปลี่ยน “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” แต่อย่างใด ทั้งที่รู้ดีว่า ป.ป.ช.อาจชี้มูลในไม่ช้า
เรื่องนี้ก็มีประเด็น ให้วิเคราะห์ได้ว่า นี่อาจเป็นเกมเรียกคะแนนสงสาร เห็นใจของพรรคประชาชน ที่ถูกกระทำจากองค์กรอิสระซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ ได้สส. 250 เสียง หรือ ถล่มทลาย เพื่อไม่ให้มีปัญหาในการตั้งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าพรรคประชาชน เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะส.ส.ที่อยู่ในข่ายจะถูกชี้มูลค่อนข้างแน่นอน เพราะนอกจากจะร่วมลงชื่อแก้ไข ม.112 แล้ว ยังมีพฤติการณ์ บ่งชี้ชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ไข ม.112 เช่น สนับสนุนการเคลื่อนไหวแก้ม.112 นอกสภาฯ เป็นต้น อดีตสส.เหล่านี้ อาจไม่ส่งสมัครระบบเขต ที่หากถูกชี้มูลจะต้องเลือกตั้งใหม่ จนถูกโจมตีอย่างรุนแรงทำให้สิ้นเปลืองภาษีประชาชน โดยส่งลงสมัครระบบบัญชีรายชื่อพรรค หรือ ปาร์ตี้ลิสต์แทน ซึ่งถ้าถูกชี้มูลสามารถเลื่อนลำดับได้
จึงไม่แปลก ที่จะมีปรากฏการณ์ความไม่พอใจ ที่อดีตส.ส.บางคนถูกปรับมาลงปาร์ตี้ลิสต์ หรือไม่ได้ไปต่อ ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากต้องรับมือเรื่องนี้นั่นเอง
ความจริง อาจมีข้อสงสัยว่า ในเมื่อพรรคก้าวไกลถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคไปแล้ว และกรรมการบริหารพรรคก็ถูกเว้นวรรคทางการเมืองถึง 10 ปี ทำไมยังมีคดี 44 สส.อีก เรื่องนี้ “แก้วสรร อติโพธิ” นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย อธิบายเอาไว้ อย่างชัดเจน
จากบทความเรื่อง เกาะติด “คดีจริยธรรม ๔๔ ส.ส.ส้ม” มีบางตอนระบุ เป็น ถาม-ตอบว่า
“ถามพรรคส้ม ถูกยุบมาสองครั้งแล้ว ทั้ง “อนาคตใหม่” และ “ก้าวไกล” มาวันนี้เป็นพรรค “ประชาชน” คือเป็น “ส้ม 3” เข้าไปแล้วและกำลังจะส่ง ส.ส.ลงเลือกตั้งในกุมภานี้อยู่พอดี แล้วนี่ ป.ป.ช.ก็ยังจะลงมือฟ้องตัดสิทธิผู้สมัคร เขาอีกหรือ มันจะอาฆาตอะไรกันนักกันหนาครับ ท่านสารวัตร
ตอบคุณต้องเข้าใจความเป็นมา ก่อนครับว่า งานนี้เป็นเรื่องของสมัย “ส้ม 2” คือการที่พรรคก้าวไกล เสนอเลิก ๑๑๒ เมื่อ ปี ๒๕๖๔ แล้วต่อมาถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า การกระทำนี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการกร่อนเซาะสถาบันกษัตริย์ จนเกิดมูลคดีขึ้นสามประการ จนปัจจุบัน คือ
1. คดีปกป้องรัฐธรรมนูญ คดีนี้มีผู้อาศัยสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไปแล้ว เมื่อ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๗ ว่า ความเคลื่อนไหวเลิก ๑๑๒ ทั้งในสภาโดยการเสนอร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล กับการประท้วงให้ร้ายสถาบันต่างนานานอกสภาเป็นปีๆนั้น แท้จริงแล้ว เป็นขบวนการที่สอดประสานกันเพื่อกร่อนเซาะสถานภาพทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ ศาลจึงสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติความเคลื่อนไหวทั้งปวงในเรื่องนี้
2. คดียุบพรรคก้าวไกล ด้วยผลผูกพันจากคดีที่ ๑. กกต.จึงร้องให้ยุบพรรคก้าวไกล ตามอำนาจหน้าที่ใน พ.ร.บ.พรรคการเมือง และในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๗ ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติตามนั้น พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของ กรรมการบริหารพรรคด้วย
3. คดีจริยธรรม ส.ส. เมื่อความปรากฏตามคดี ๑. และ ๒. ป.ป.ช.จึงมีอำนาจหน้าที่รับคำร้องของผู้ร้อง เมื่อ กุมภา ๖๗ มาไต่สวนว่า ส.ส.ก้าวไกล ทั้ง ๔๔ คน ที่มีชื่อเสนอร่างกฎหมายเลิก ๑๑๒ นั้น มีผู้ใดกระทำผิดจริยธรรม ข้อนี้หรือไม่
“ข้อ ๖ สมาชิกและกรรมาธิการต้องจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
นี่แหละครับคือ คดีจริยธรรม ๔๔ ส.ส.ส้ม ในวันนี้...”
อย่าลืม พรรคส้ม หรือ อดีตก้าวไกล ในยุค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หนึ่งเดียว ปัญหาใหญ่ที่รุมเร้า ไม่ว่า ถูกโจมตีจากกระแส “ล้มเจ้า” จนฝ่าด่านเลือกตั้งมาได้ แต่สุดท้ายก็ตกม้าตาย ถูกส.ว.จำนวนมากไม่ให้ความเห็นชอบ โดยข้ออ้างสำคัญ คือ มีชนักติดหลังเรื่องแก้ม.112 นั่นเอง
การเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นกัน เริ่มมีสัญญาณว่า กรณีแก้ไข ม.112 จะตามมาหลอกหลอนพรรคส้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เพียงคดีค้างเก่า กรณี 44 ส.ส. หากแต่ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ที่หลายพรรคมีการประกาศว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคใดบ้าง เช่นกัน
สิ่งที่พรรคประชาชน หรือ พรรคส้ม ถูก “โดดเดี่ยว” ไม่มีพรรคไหนอยากเข้าร่วม ก็ยังคงเป็นเรื่องต้องการแก้ไข ม.112 อยู่เช่นเคย อยู่ที่ว่า จะมีกระแสต่อต้านรุนแรงหรือไม่ แค่ไหน?
เห็นได้จากหลังพรรคประชาชน ประกาศก่อนใคร “มีเรา ไม่มีเทา” ซึ่ง ในทางการเมือง อาจหมายถึงบางพรรคที่ร่วมรัฐบาลกับ รัฐบาลอนุทิน มีอดีตส.ส.และรัฐมนตรีบางคน ถูกตรวจสอบกรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์หรือไม่ ทั้งยังดักทาง “อนุทิน” ในอนาคตที่อาจจับมือกับพรรคที่มีนักการเมืองสีเทาอยู่ในพรรคอีกครั้ง
“เท้ง” ณัฐพงษ์ เดินเกมวัดกับ “อนุทิน” ด้วยการประกาศ จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย หากพรรคภูมิใจไทยชนะเลือกตั้ง โดยพรรคประชาชนจะเป็นฝ่ายค้าน
ขณะที่ “อนุทิน” พอถูกถามเรื่องนี้ และไล่บี้กรณียังจะเอาบางพรรคซึ่งมีภาพสีเทาเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ หากชนะเลือกตั้ง “อนุทิน” โยนให้เป็นเจตนารมณ์ของประชาชน โดยแสดงจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่ยังหมกมุ่นอยู่กับการแก้ไข ม.112 เป็นการ “แก้เกม” ที่ทำเอาพรรคส้มไปไม่เป็นเหมือนกัน
อะไรไม่สำคัญเท่ากับ หากช่วงเลือกตั้งมีปรากฏการณ์ สองกระแส คือ คดี 44 สส.ถูกชี้มูลความผิด และบางพรรคยังหมกมุ่นแก้ไขม.112 คิดดูว่า กระแสชาตินิยมที่หล่อเลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว จะผสมคละเคล้าอย่างลงตัวขนาดไหน?







