เรื่องที่เกิดบนกระจก(2)

สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนกระจกบังลมหน้าของรถยนต์
แต่ยังไม่ครบถ้วนของเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์บนกระจกบังลมหน้า เพราะมีปัญหาอีกมากมายที่คนใช้รถยังสับสนว่า ควรทำหรือไม่ควรทำอะไรบ้างบนกระจกบังลมหน้า หรือทำอะไรแล้วจะส่งผลดีหรือผลร้ายอย่างไรต่อการขับขี่รถยนต์
อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดๆหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับกระจกบังลมหน้า ซึ่งแม้แต่กฎหมายหรือกฎกระทรวงบางข้อที่ประกาศบังคับใช้ออกมา ก็ทำให้ผู้ใช้รถขาดความปลอดภัยจากการใช้รถไปด้วย หรือแม้แต่ทัศนคติของผู้ขับรถเอง บางครั้งก็ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่รู้ตัว
ตัวอย่าง เช่น กฎกระทรวงว่าด้วยข้อห้ามติดฟิล์มกรองแสงที่กระจกบังลมหน้าทั้งบาน เพราะผู้มีอำนาจในยุคนั้นตกอยู่กับความโง่เขลา คิดแต่ว่าหากปล่อยให้ติดฟิล์มเต็มบานกระจกบังลมหน้ารถ เจ้าของรถก็จะพากันไปติดฟิล์มสีดำมืดทึบจนทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่เสียไป จึงบังคับให้ติดฟิล์มได้ไม่เกิน 25% ของพื้นที่กระจกบังลมหน้า โดยวัดจากขอบกระจกด้านบนลงมาเท่านั้น
มิใยที่ใครจะคัดค้นด้วยเหตุและผลอย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีผู้มีอำนาจในยุคนั้นก็ยังดึงดันที่จะทำตามความคิดของตนเองให้ได้ ผลลัพธ์ในทุกวันนี้คือเมื่อมีเหตุการณ์ปาก้อนหินใส่กระจกบังลมหน้าของรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่ จึงมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน เพราะขาดความเหนียวของฟิล์มกรองแสง ซึ่งเป็นตัวช่วยทำให้การแตกของกระจกบังลมหน้าเสียหายน้อยลง
ส่วนสิ่งผิดๆที่ผมได้สอบถามผู้ขับรถยนต์จำนวนมากก็คือ ทำไมไม่เปิดสวิทช์น้ำฉีดกระจกและยางใบปัดน้ำฝนให้ทำงาน ทั้งที่เห็นว่ากระจกบังลมหน้ามีเศษผงหรือมีความสกปรกเกิดขึ้นที่กระจกบังลมหน้าแล้ว คำตอบที่คนมากกว่า 60% ตอบมาก็คือ กลัวว่ารถจะเปื้อนไม่สวยงามเพราะเมื่อเปิดน้ำฉีดกระจกและใบปัดน้ำฝนทำงานขณะรถวิ่ง จะทำให้มีคราบน้ำไหลย้อยลามไปถึงกระจกหน้าต่าง และบริเวณกระจกบังลมหน้านอกพื้นที่การทำงานของใบปัดน้ำฝน สรุปได้ว่าคนขับรถห่วงรถความสวยงามของรถมากกว่าห่วงทัศนวิสัยที่ดี หรือมากกว่าห่วงความปลอดภัยจากการขับรถนั่นเอง
นอกเหนือไปจากนั้นผมยังขอเสนอแนะวิธีการที่ดีสำหรับรถยนต์ที่จอดตากแดด ซึ่งผมได้เคยบอกไปในสัปดาห์ที่แล้วว่า ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องยกก้านใบปัดน้ำฝนให้ยางใบปัดน้ำฝนลอยขึ้นมาจากกระจก แต่ก็ยังมีบางท่านสงสัยถามต่อมาว่าแล้วสิ่งที่ถูกต้องควรทำอย่างไร เพราะมีบางตำราบอกว่าถ้าจอดรถกลางแจ้ง ก็อาจจะมีฝุ่นผงปลิวมาตกลงบนกระจก หากเปิดใบปัดน้ำฝนให้ทำงานขึ้นก็จะทำให้ยางใบปัดน้ำในเสียหายได้
หากท่านผู้ขับรถยนต์มีความกังวลเกี่ยวกับลักษณะดังกล่าว เมื่อท่านกลับมาถึงรถยนต์ของท่านที่จอดตากแดfตากฝุ่นอยู่กลางแจ้ง ให้ท่านง้างก้านใบปัดน้ำฝนพ้นขึ้นมาจากกระจก แล้วใช้กระดาษทิชชู่หรือผ้านุ่มๆเช็ดเบาๆ แบบลูบตามความยาวของยางใบปัดน้ำฝน จากนั้นจึงเอาผ้าหรือกระดาษนั้นเช็ดลงไปบนกระจกบริเวณที่ยางใบปัดน้ำฝนเคยวางแนบกับกระจกอยู่ เพื่อกวาดเช็ดเศษผงหรือเศษกรวดทรายเล็กๆ ที่เกาะอยู่กับกระจกให้หมดไปนั่นเอง
อีกข้อหนึ่งซึ่งมักจะปฏิบัติกันอย่างไม่ถูกต้องเป็นประจำ นั่นคือวิธีการเปิดใช้ใบปัดน้ำฝน ด้วยว่าส่วนใหญ่จะเปิดสวิทช์ให้ใบปัดน้ำฝน ทำงานขึ้นมาในจังหวะที่ช้าที่สุดเป็นอันดับแรก แต่ในความเป็นจริงการเปิดสวิทช์ใบปัดน้ำฝนในจังหวะช้า จะยิ่งทำให้กระจกบังลมหน้าขุ่นมัวมากขึ้นไปชั่วขณะ ซึ่งมากเพียงพอที่จะทำให้ผู้ขับขี่รถมองไม่เห็นทัศนวิสัยเบื้องหน้าขณะขับรถ จนอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาได้ง่ายๆ
ดังนั้นเมื่อต้องการให้ใบปัดน้ำฝนทำงานขึ้นมา จึงควรเปิดในจังหวะเร่งความเร็วมากที่สุด พร้อมกับฉีดน้ำทำความสะอาดกระจกไปพร้อมกันก่อนเป็นอันดับแรก จนเมื่อเห็นว่ากระจกใสเพียงพอที่จะเห็นทัศนวิสัยเบื้องหน้าได้ชัดเจนดีแล้ว จึงค่อยลดระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝนลงเหลือตามปรกติ
ข้อสุดท้ายที่อยากจะแนะนำผู้ขับรถทั้งหลายเอาไว้ก็คือ น้ำในถังเก็บน้ำสำหรับฉีดทำความสะอาดกระจกบังลมหน้าและหลังนั้น สิ่งที่ควรใส่ลงไปในถังเก็บน้ำนอกเหนือไปจากน้ำสะอาดแล้ว ก็คือสารที่ช่วยให้การทำความสะอาดกระจกเป็นไปได้ง่ายและสะอาดรวดเร็วมากขึ้น เช่นการเติมน้ำยาล้างกระจกผสมลงไปด้วย หรืออาจจะใช้แชมพูสระผมหรือน้ำยาล้างจานผสมน้ำสะอาด เติมลงไปในถังเก็บน้ำดังกล่าว เพราะจะทำให้ยางปัดน้ำฝนทำงานได้ราบรื่นมากขึ้น และสามารถทำความสะอาดที่กระจกบังลมหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับเติมสารต่างๆเหล่านั้นก็คือ นำเอาน้ำยาหรือสารต่างเหล่านั้นกรอกลงในขวดน้ำดื่มที่ไม่ใช้แล้ว จากนั้นจึงเอาน้ำสะอาดเติมผสมลงไป แล้วจึงเขย่าให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนที่จะเอาไปเติมลงในถังเก็บน้ำและหากยังไม่เต็มปริมาณที่ขีดกำหนดเอาไว้ ก็ให้ใช้น้ำสะอาดเติมลงไปให้เต็มตามขีดที่กำหนดเท่านั้นเองครับ







