ตลาดใหญ่ ‘ปิกอัพ’ ฉุดยอด โจทย์ใหญ่อุตฯ ยานยนต์ 'ซึม'

ประเมินตลาดรถยนต์ 2568 ยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ความเข้มงวดสถาบันการเงิน ส่งผลยอดขายปีนี้ยังชะลอตัว โตโยต้าคาดปรับขึ้นเล็กน้อย ปิดตัวเลข 6 แสนคัน ขยายตัว 5%
ปี 2567 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก ทั้งการผลิต ส่งออก โดยเฉพาะตลาดในประเทศที่หดตัวรุนแรง ที่ยอดขายทำสถิติต่ำสุดในรอบ 15 ปี
ส่วนปี 2568 จะมีทิศทางอย่างไรนั้น ล่าสุดบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2567 จากการรวบรวมข้อมูลแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ประกอบการ ประเมินว่าจะมีทิศทางการฟื้นตัวแบบช้าๆ โดยคาดการณ์ยอดขายรวม 6 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5% จากปี 2567 ซึ่งมียอดขาย 5.72 แสนคัน ลดลง 26.2% เมื่อเทียบกับปี 2566
ทั้งนี้โตโยต้า มองว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยปี 2568 จะฟื้นตัวสอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด โดยมีทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยที่ต้องจับตามอง
ด้านบวกจะมีแรงหนุนด้านอุปสงค์จากกิจกรรมในภาคธุรกิจ และการลงทุนที่จะกระเตื้องขึ้น การท่องเที่ยวที่เติบโตดี ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความต้องการรถยนต์เพิ่มขึ้น นโยบายภาครัฐที่จะสนับสนุนการใช้จ่ายให้เร่งขึ้น และการขยายตัวของการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมภายในประเทศ และโครงสร้างพื้นฐาน
รวมถึงการผลักดันมาตรการสนับสนุนของภาครัฐที่มีต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ และแรงหนุนจากภาคเอกชนเองคือ กลยุทธ์การส่งเสริมการขายและสงครามราคาจากผู้ผลิตแบรนด์ต่างๆ ที่คาดว่าจะทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น
ส่วนสิ่งที่จะต้องจับตาดูคือ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่อาจส่งผลต่อการส่งออก สถานการณ์ที่สถาบันการเงินอาจยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้จากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง และภาวะหนี้เสียที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงต่อไป รวมถึงทิศทางของนโยบายอัตราดอกเบี้ย
ปิกอัพยังติดลบต่อเนื่อง
ทั้งนี้การประเมินตลาดปี 2568 ของโตโยต้าที่ 6 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5% แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 2.35 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5% และรถเพื่อการพาณิชย์ 3.64 แสนคัน เพิ่มขึ้น 4%
สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์เป็นการรวมรถหลายประเภทไว้ในกลุ่มนี้ รวมถึงรถบรรทุก รถโดยสาร และรถปิกอัพ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อดูที่ตัวเลขคาดการณ์ของโตโยต้าเองที่ตั้งเป้าหมายการขายในปีนี้สอดคล้องกับตลาดรวมคือ 2.31 แสนคัน เพิ่มขึ้น 5% เท่ากับการเติบโตของตลาดรวม มีส่วนแบ่งทางการตลาด 38.5% เท่ากับปี 2567 ที่ผ่านมา
แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 7.93 หมื่นคัน เพิ่มขึ้น 19% รถเพื่อการพาณิชย์ 1.51 แสนคัน ลดลง 1% โดยในกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์แบ่งออกเป็นรถปิกอัพ 1 ตัน รวมปิกอัพดัดแปลง 8.73 หมื่นคัน ลดลง 4% และปิกอัพ 1 ตัน ไม่รวมรถดัดแปลง 7.38 หมื่นคัน ลดลง 5%
ทั้งนี้ปี 2567 ที่ผ่านมา โตโยต้าเป็นผู้นำในตลาดปิกอัพด้วยยอดขาย 7.79 หมื่นคัน มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 47.7% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการพัฒนาสินค้าเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น เช่น โตโยต้า ไฮลักซ์ แชมป์ ปิกอัพ 1 ตันที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย ออกแบบให้ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย โดยสามารถสร้างยอดขายได้ 1.17 หมื่นคัน ครองส่วนแบ่งตลาด 7.2%
แต่โตโยต้า กลับตั้งเป้าหมายการขายปิกอัพในปีนี้ติดลบ 5% สวนทางกับคาดการณ์ตลาดรวมที่เติบโต 5% มีทิศทางที่ติดลบต่อเนื่องจากปี 2567
โดยข้อมูลของโตโยต้า ระบุว่าปี 2567 ตลาดรถยนต์ 5.72 แสนคัน ลดลง 26.2% แม้จะเป็นการติดลบทุกตลาด แต่รถปิกอัพเป็นตลาดที่ติดลบสูงคือ 38.3% จากยอดขาย 1.63 แสนคัน ขณะที่รถยนต์นั่งมียอดขาย 2.24 แสนคัน ลดลง 23.4%
ตลาดใหญ่ร่วงหนัก ส่งผลตลาดรวม
ทั้งนี้รถปิกอัพเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวแรกของไทย และมีบทบาทที่สำคัญมาต่อเนื่องยาวนาน โดยสัดส่วนการขายของปิกอัพในภาวะปกติจะอยู่ในระดับประมาณ 50% ของตลาดรวม แต่พบว่าปี 2567 ที่ผ่านมา ปิกอัพที่หดตัวรุนแรง ส่งผลให้สัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 28.5% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมาก
และการที่เป็นตลาดใหญ่ เมื่อหดตัวมากๆ จึงส่งผลต่อตลาดรวมอย่างรุนแรง และการที่ประเมินว่าปีนี้ตลาดปิกอัพยังมีทิศทางที่ไม่ดี ทำให้ภาพรวมตลาดรวมจึงยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน
การหดตัวของปิกอัพ หลักๆ มาจากความเข้มงวดของสถาบันการเงินที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อสูง โดยก่อนหน้านี้ธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พระนครยนตรการ จำกัด กล่าวว่า อัตราการปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์ค่อนข้างสูงอยู่ในระดับ 70% และบางกลุ่ม เช่น ปิกอัพตอนเดียว และปิกอัพ แค็บ สูงกว่า 70% เป็นเพราะเกิดภาวะหนี้เสียจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดยิ่งขึ้น
รวมถึงฐานลูกค้าปิกอัพจำนวนไม่น้อยเป็นกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพส่วนตัว ไม่มีรายได้ประจำ ทำให้การพิจารณาปล่อยสินเชื่อยากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้นการบ้านใหญ่ข้อหนึ่งของตลาดรถยนต์คือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถผลักดันตลาดที่เคยใหญ่ที่สุดให้ฟื้นตัวได้ ซึ่งเริ่มเห็นกิจกรรมของผู้ประกอบการต่างๆ เพิ่มขึ้นในช่วงเวลานี้ ทั้งกิจกรรมที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า รวมถึงการประสานความร่วมมือกับสถาบันการเงินในการรับรองลูกค้ากลุ่มที่มีศักยภาพ
หวังรถใหม่ฟื้นตลาด
รวมถึงความเคลื่อนไหวในด้านผลิตภัณฑ์ ซึ่งปีนี้มีรถที่มีความสดใหม่ เช่น อีซูซุ ดีแมคซ์ ที่เปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ 2.2 ลิตร แม็กซ์ฟอร์ซ ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 และจะมีบทบาทในการทำตลาดเต็มปีในปีนี้ และมาสด้า บีที-50 ที่เปิดตัวเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร เช่นกัน
ขณะที่ผู้นำตลาดอย่าง โตโยต้า เตรียมปรับโฉมปิกอัพ ไฮลักซ์ในปีนี้ และมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นทางเลือกใหม่ด้านพลังงาน คือ ปิกอัพ ไฮบริด รวมถึงปิกอัพพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ที่ประธานโตโยต้า ยืนยันก่อนหน้านี้ว่าจะเริ่มต้นการผลิตในปีนี้
สำหรับภาพรวมตลาดอื่นๆ ที่จะมีบทบาทในปีนี้ยังคงต้องจับตาดูกลุ่มพลังงานทดแทน เช่น อีวี แม้ปี 2567 ที่ผ่านมาจะไม่เป็นไปตามคาดการณ์ คือ ตลาดติดลบจากปีก่อนหน้า 8% ด้วยยอดจดทะเบียน 7 หมื่นคัน แต่ความเคลื่อนไหวของอีวียังมีต่อไปโดยจะมีรถใหม่ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
ซูว หยิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด กล่าวว่าปี 2567 ที่ผ่านมา เอ็มจี กำหนดทิศทาง และกลยุทธ์การตลาดที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีล้ำสมัยครบทุกเซกเมนต์ ทั้งเครื่องยนต์สันดาป ไฮบริด และยานยนต์ไฟฟ้า
โดยปีนี้ เอ็มจี จะเสริมตลาด อีวี ไม่ต่ำกว่า 2 รุ่น โดยเตรียมเปิดตัวภายในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์ โชว์ ที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายเดือนมี.ค.
หวัง เฮ่าวหย่ง กรรมการผู้มีอำนาจ และผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทั่วไป บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ จีเอซี ไอออน เปิดเผยว่า ปีนี้ จีเอซี ไอออน จะเสริมตลาดอีวีเพื่อขยายฐานการตลาดมากขึ้น โดยเริ่มจาก ไอออน ยูที รถครอสโอเวอร์ในกลุ่ม บี-เซกเมนต์ เนื่องจากที่ผ่านมา เห็นว่าตลาดอีวีในประเทศไทยให้ความนิยมกับรถในเซกเมนต์นี้ จากความสามารถในการใช้งาน และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และเป็นตลาดที่บริษัทยังไม่มีผลิตภัณฑ์ทำตลาด
โดยปัจจุบัน จีเอซี ไอออน มีรถทำตลาดประกอบด้วย ไอออน วายพลัส, ไอออน อีเอส และ ไอออน วี
ขณะที่ผู้นำตลาดอีวี คือ บีวายดี ก็ขยับตัวเช่นกัน โดยมีแผนจะเปิดตัวรถเสริมตลาด หนึ่งในนั้นคือ บีวายดี แอทโต 2 ที่อยู่ในตลาด บี-เซกเมนต์เช่นเดียวกัน
ค่ายญี่ปุ่นขยับตัว อีวี
ฝั่งแบรนด์ญี่ปุ่น ฮอนด้า เตรียมกลับมาทำตลาด อีวี อี:เอ็น1 อีกครั้ง ในรูปแบบการนำเข้าจากฐานการผลิตประเทศจีน ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษด้านภาษีนำเข้า 0% จากที่ก่อนหน้านี้ฮอนด้าผลิตรถในประเทศไทยที่โรงงานปราจีนบุรี โดยไม่เปิดจำหน่ายแต่ใช้วิธีการเปิดเช่าผ่านพันธมิตร 12 ราย ในราคาเริ่มต้น 2.88 หมื่นบาท/เดือน (เงื่อนไขเช่า 48 เดือน) แทนก่อนที่จะหยุดการผลิตไปที่ 420 คัน
ขณะที่มาสด้า ก็มีแผนที่จะเปิดตัวอีวีในไทยเช่นกัน โดยเป็นการนำเข้าจากฐานการผลิตในจีน ซึ่งมาสด้าร่วมทุนกับผู้ผลิตจีนอย่างฉางอาน
นอกจากนั้นมาสด้ายังมีแผนที่จะรุกตลาดในไทยครั้งใหญ่อีกครั้ง โดยประธาน มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เตรียมมาแถลงข่าวในไทยวันที่ 14 ก.พ.นี้ คาดว่าจะรวมถึงแผนการลงทุนเพิ่มเติม 1 หมื่นล้านบาท สำหรับการรุกพลังงานใหม่ ๆ เพิ่มเติม
จับตาอีวี-ไฮบริด
อย่างไรก็ตาม อีกตลาดที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในปีนี้คือ ลูกผสมอย่างไฮบริดที่แบรนด์ญี่ปุ่นมุ่งให้ความสำคัญเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการสมรรถนะ และความประหยัดแบบ อีวี แต่ได้ความสะดวกในการใช้งานจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน
โดยโตโยต้า ระบุว่า ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นแรงส่งสำคัญในช่วงที่ตลาดยังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากการที่รถยนต์ไฮบริดในไทยมียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 29% ในปีที่ผ่านมา สวนทางกับตลาดที่ติดลบ
ดังนั้นในปีนี้คาดว่าจะเห็นการรุกตลาดอีวี เพิ่มขึ้น โดยในส่วนโตโยต้าเอง ซึ่งที่ผ่านมาโดดเด่นกับรถหลายรุ่น โดยเฉพาะยาริส ครอส ก็เตรียมเปิดตัว เอทีฟ อีโค คาร์ ตัวเก่ง ในเวอร์ชั่น ไฮบริด เป็นต้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์