เอ็มจี ย้ำภาพ อีวี เจาะตลาดใหม่ เพิ่มลงทุน สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า

เอ็มจี ย้ำภาพ อีวี เจาะตลาดใหม่  เพิ่มลงทุน สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า

เอ็มจี ได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลักดันตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ให้ขยายตัวอย่างโดดเด่น หลังจากเปิดตัว แซดเอส อีวี ในปี 2562 และถึงปัจจุบัน เอ็มจี มีนโยบายรุกตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านตัวผลิตภัณฑ์ หรือ การลงทุนในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจุบัน เอ็มจี (MG) มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) จำหน่ายมากที่สุดในตลาด รวม 5 รุ่น คือ MG ZS EV, MG EP Plus, MG4,  MG ES และล่าสุดที่กำลังร้อนแรง คือ MG MAXUS 9 ที่เปิดตัวครั้งแรกในไทย และะภูมิภาคอาเซียนในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ช่วงปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างรวดเร็ว 

และถือเป็นการบุกเบิกอีกครั้งของเอ็มจีกับตลาด e-MPV

MAXUS 9 มียอดจองแล้วกว่า 1,500 คัน ขณะที่บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นนำเข้ารถเพื่อส่งมอบ โดยคาดว่าภายในเดือน มิ.ย. รถจะถึงมือลูกค้าได้รวม 500 คัน 

การที่ MAXUS 9 ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนี่เป็นตลาดใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำตลาดมาก่อน บวกกับตัวผลิตภัณฑ์ที่มีจุดขายของตัวเอง

โดยเฉพาะการเป็นรถที่จัดเป็นกลุ่ม พรีเมียม ของเอ็มจี ในระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป คือ 2.49-2.69 ล้านบาท และเป็นรถ 7 ที่นั่ง ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ในเรื่องของความสะดวกสบาย และฟังก์ชันการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น หลังคา Dual Panoramic Sunroof ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง โล่ง เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง

เบาะนั่งผู้โดยสารปรับอัตโนมัติ 4 ทิศทาง และเบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat  มีระบบบันทึก ระบบนวด และปรับอุณหภูมิ  รวมถึงมีโต๊ะส่วนตัวที่เก็บมิดชิดดึงออกมาใช้งานได้ 

MAXUS 9 ติดตั้งแบตเตอรีความจุ 90 kWh มอเตอร์ให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร

การชาร์จไฟ 1 ครั้ง ขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 540 กม. ตามมาตรฐาน NEDC ขณะที่ ระบบความปลอดภัย ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM  ใส่เข้ามา 25 ระบบ 

 

เอ็มจี ย้ำภาพ อีวี เจาะตลาดใหม่  เพิ่มลงทุน สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า เอ็มจี ย้ำภาพ อีวี เจาะตลาดใหม่  เพิ่มลงทุน สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า

การตอบรับที่ดี อีกส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากการที่ เอ็มจี อยู่ในตลาด อีวี มายาวนาน มีสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า อีวี แม้จะอยู่ในเมืองไทยมาระยะหนึ่ง แต่ก็ยังถึอเป็นของใหม่ของหลายคน ที่ยังไม่แน่ใจกับพลังงานใหม่ ว่าจะใช้งานได้ดีเพียงใด 

ขณะเดียวกันอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ หรือ pain point ของอีวี คือ ความสะดวกสบายในการใช้งาน เพราะปัจจุบันกระแสข่าวในโลกโซเชียล ที่จุดชาร์จไม่เพียงพอ และมีปัญหาแย่งชิงจดชาร์จ หรือ รถอื่นๆ เข้ามาจอดในพื้นที่ชาร์จของอีวี ส่งผลให้หลายคน ชะลอการตัดสินใจซื้อ อีวี ออกไป 

เพราะต้องยอมรับความจริงว่า ตลาดอีวี ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การขยายจุดชาร์จยังค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากยังมีปัญหาหลายอย่าง 

แต่การเข้ามาขับเคลื่อนด้วยตัวเองของเอ็มจี ด้วยการติดตั้งสถานีชาร์จในพื้นที่ของตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงพันธมิตรอย่าง บางจาก รวม 136 แห่ง ในขณะนี้ พร้อมตั้งเป้าว่าจะเปิดบริการทุก 150 กม. ในเส้นทางกลัก ทำให้ลูกค้าเอ็มจี มีความมั่นใจว่าจะสามารถใช้งาน ได้สะดวก 

ความมั่นใจในการใช้งานระยะยาว มีผลต่อการขับเคลื่อนแบรนด์ ขับเคลื่อนตลาด ซึ่งความเคลื่อนไหวของ เอ็มจี อีกสิ่งหนึ่งคือ การมีเป้าหมายในเชิงอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแผนการประกอบ อีวี ในไทย

และที่มากไปกว่านั้นคือ ล่าสุดประกาศแผนลงทุนโรงงานชิ้นส่วนแบตเตอรี และประกอบแบตเตอรี ด้วยงลงทุนเบื้องต้น 500 ล้านบาท ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี

ซึ่งเป็นพื้นที่เดียวกับที่ตั้งโรงงานประกอบ เอ็มจี ในปัจจุบัน ที่มีพื้นที่รวม กว่า 437.5 ไร่ และใช้ไปแล้วประมาณ 300 ไร่ สำหรับโรงงานประกอบตัวถัง  โรงงานพ่นสีรถยนต์ โรงผลิตตัวถัง 

เอ็มจี ย้ำภาพ อีวี เจาะตลาดใหม่  เพิ่มลงทุน สร้างความเชื่อมั่นลูกค้า

ขณะที่พื้นที่ที่เหลือ 137.5 ไร่  ช่วงแรกจะถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ รองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต

ประกอบไปด้วย อาคารโรงงานสำหรับการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ ไลน์การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า โดยได้ทำพิธีวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อเร็วๆ นี้ 

องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ มีผลที่ทำให้ เอ็มจี ได้รับการยอมรับจากตลาด ซึ่งจะเห็นได้จากแม้ว่าตลาดจะแข่งขันรุนแรงแค่ไหน แต่ อีวี ของ เอ็มจี ที่เปิดตัวออกสู่ตลาด จะได้รับการตอบรับจากลูกค้าทุกรุ่น