ม.กรุงเทพ เตรียมปั้น “นิเทศพันธุ์ใหม่” ไม่มีวันตกยุค

ม.กรุงเทพ เตรียมปั้น “นิเทศพันธุ์ใหม่” ไม่มีวันตกยุค

 

ม.กรุงเทพ เตรียมปั้น “นิเทศพันธุ์ใหม่” ไม่มีวันตกยุค ตอบโจทย์สื่อแบบไร้ขอบเขต กับหลักสูตรอินเตอร์ฯInnovative Media Production

การเกิดขึ้นของสื่อในรูปแบบหรือแพลตฟอร์มใหม่ๆ โดยเฉพาะสื่อออนไลน์อย่างยูทูบ ไลน์ หรือเฟซบุ๊ก ทำให้วงการบันเทิงต้องปรับตัวให้ทันกระแสโลกกันอย่างถ้วนหน้า เช่นเดียวกับสถานศึกษาที่ต้องเปิดหลักสูตรเพื่อผลิตบุคลากรป้อนโลกยุคใหม่

ดังเช่นคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกของไทยที่เปิดสอนคณะนี้จนได้รับความไว้วางใจจากเด็กและผู้ปกครองมานานกว่า 40 ปี ก็เพิ่งควบรวมสาขาวารสารศาสตร์เข้ากับสาขาบรอดแคสต์ติ้งแล้วเปลี่ยนชื่อสาขาวิชาเป็น “บรอดแคสต์ติ้งและวารสารศาสตร์ดิจิทัล” เพื่อให้นักศึกษาสามารถสร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายตอบสนองแพลตฟอร์มใหม่ๆ ได้อย่างเหมาะสม ล่าสุดยังได้เปิดหลักสูตรนานาชาติ“Innovative Media Production”หรือ “การผลิตสื่อนวัตกรรม” ขึ้นด้วยซึ่งนับเป็นนวัตกรรมที่พลิกโฉมนิเทศศาสตร์สมชื่อ

นวัตกรรมแรกคือ การเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนจาก Platform Base มาเป็น Content Base เพื่อที่เด็กๆ จะสามารถสร้างเนื้อหาหรือคอนเทนต์ที่เข้าถึงและโดนใจกลุ่มผู้บริโภคในสื่อทุกแพลตฟอร์ม ทั้งแพลตฟอร์มดั้งเดิมอย่างวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และแพลตฟอร์มในโลกยุคใหม่อาทิ ยูทูบ ไลน์เฟซบุ๊ก และไอจี โดยเน้นการปฏิบัติมากกว่าการเรียนแบบท่องจำ ผ่านการใช้ประโยชน์จากคลังข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data)ทั้งเรื่องจำนวนคนดู เวลา เพศ อายุ พฤติกรรมการรับชม รสนิยม และเทรนด์ต่างๆ สำหรับออกแบบเนื้อหาและเลือกแพลตฟอร์มได้ตรงเป้าหมาย

“หลักสูตรนี้เกิดขึ้นเพราะปัจจุบันแพลตฟอร์มในการนำเสนอเนื้อหาเปลี่ยนไปตลอดเวลา” ดร.พีรชัย เกิดสินธุ์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ให้ความกระจ่างเพิ่มเติม “ดังนั้นการเรียนการสอนแบบเก่า เช่น การเอาแพลตฟอร์มมาเป็นตัวตั้ง แล้วค่อยผลิตคอนเทนต์ป้อน จึงอาจไม่เหมาะสมอีกต่อไป เพราะในอนาคตบางแพลตฟอร์มอาจจะไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม เราจึงพลิกโฉมด้วยการให้ตั้งต้นที่คอนเทนต์ที่เขาอยากนำเสนอก่อน โดยนักศึกษาจะต้องผลิตคอนเทนต์ได้อย่างสร้างสรรค์ แปลกใหม่ ดึงดูดใจและมีประสิทธิภาพ จากนั้นค่อยมาดูว่าแพลตฟอร์มไหนจะเหมาะสมกับคอนเทนต์นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น แต่เดิมเราอาจสอนให้เด็กเริ่มจากการใช้กล้องโทรทัศน์ แต่หลักสูตรใหม่จะสอนว่า จะเล่าเรื่องอะไร ด้วยรูปแบบใด แล้วจึงมาดูว่าเขาควรใช้อะไรในการถ่ายทำที่เหมาะสม อาจจะเป็นกล้องโทรทัศน์ กล้องภาพยนตร์หรือแค่กล้องในมือถือก็ได้ การเรียนรูปแบบนี้จะทำให้เด็กเป็นเสมือนน้ำที่สามารถไหลไปได้ทุกทิศทาง ไม่มีวันตกยุค ไม่ว่าจะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ อะไรเกิดขึ้นมาก็ตาม”

นวัตกรรมต่อมาได้แก่ การหลอมรวมความรู้ของศาสตร์และศิลปะทุกแขนงเข้าด้วยกัน ทั้งบรอดแคสต์ติ้ง วารสารศาสตร์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการสื่อสารแบรนด์แล้วเพิ่มเติมความรู้ด้านการสร้าง Business Model เข้าไป เพื่อให้เด็กสามารถสร้างสรรค์งานได้ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ตั้งแต่การหาแหล่งทุน การผลิต ไปจนถึงการทำการตลาดเพื่อสร้างรายรับ ต่อเนื่องไปถึงการมองเห็นภาพในอนาคตว่าจะสามารถต่อยอดชิ้นงานไปสู่ธุรกิจใดได้บ้าง ภายใต้การเติมเต็ม Skill Set หรือทักษะทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ 1. ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี 2. การเล่าเรื่องและการสร้างสรรค์เนื้อหา 3. การวิเคราะห์ข้อมูลBig Data 4. การผลิตและถ่ายทำ 5. การสื่อสารและนำเสนองาน 6. ความรู้ความเข้าใจบริบทโลก และข้อสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ การคิดแบบเจ้าของธุรกิจ อันเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ของม.กรุงเทพนั่นเอง

อีกหนึ่งนวัตกรรมนั้นสืบเนื่องมาจากนวัตกรรมข้างต้น นั่นคือเมื่อเด็กมีทักษะที่รอบด้านแล้ว เด็กแต่ละคนจะได้รับการเจียระไนเฉพาะด้านตามที่เขาถนัด

“เราสอนแบบ Student Centered หรือการตอบความต้องการและความถนัดของเด็กเป็นรายบุคคล เพราะเราเข้าใจดีว่าเด็กแต่ละคนมีความสนใจ จุดเด่นและความเชี่ยวชาญต่างกัน” ดร.พีรชัย กล่าวเสริม “อย่างเช่นวิชาการถ่ายภาพ เราก็จะไม่ให้ความสำคัญเพียงแค่ว่าถ่ายอย่างไรต้องใช้เลนส์หรือปรับแสงแบบไหน เพราะการสร้างภาพสวยๆ สักภาพต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน บางคนอาจชอบคิดสตอรี่ บางคนชอบเป็นนางแบบ บางคนชอบเป็นสไตลิสต์ บางคนถนัดหาเสื้อผ้า ขณะที่อีกคนอาจชอบหาโลเกชั่น เด็กจะรู้ว่าเขามีจุดแข็งตรงไหนที่จะไปเติมเต็มให้กับทีมได้ ดังนั้นถ้าเด็กถนัดเรื่องอะไร เราจะดันให้เขาไปสุดทางที่เขาถนัด ข้อสอบจึงไม่ได้มีแค่ชุดเดียวที่จะมาวัดผลว่าใครสอบผ่านหรือสอบตก ในทางกลับกันเด็กจะได้เกรดดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของเขาเองที่แสดงด้านที่เขาถนัดออกมา”          

และด้วยความที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ เป้าหมายในการผลิตงานจึงไม่ได้อยู่แค่ระดับประเทศ แต่เป็นการสร้างบุคลากรระดับโลก (Global Player) หลักสูตรจึงร่วมร่างขึ้นโดยอาจารย์ผู้เป็นตัวจริงของวงการสื่อและวิทยากรพิเศษที่เป็นศิษย์เก่าจากภาคเอกชนชั้นนำทั้งระดับประเทศและนานาชาติ เช่น Google, YouTube, Facebook, Ogilvy, Dentsu, Y&R ฯลฯ เด็กจะมีโอกาสไปฝึกงานกับบริษัทชั้นแนวหน้าเหล่านี้ หรืออาจได้เป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ อีกทั้งมีคนดังในวงการบันเทิงหลายคนเตรียมตบเท้ามาเป็นอาจารย์ผู้สอนหรือGuest Speaker โดยมีเป้าหมายให้เด็กกลายเป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่สามารถเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศเพียงอย่างเดียว

นักศึกษาหลักสูตร Innovative Media Production จึงจะกลายเป็น “นิเทศพันธุ์ใหม่” ที่ทำงานได้อย่างไร้ขอบเขต เพราะต่อให้สื่อแพลตฟอร์มใดระส่ำระสาย แต่เด็กนิเทศพันธุ์ใหม่กลุ่มนี้ก็จะยังอยู่ยงคงกระพันผลิตงานตอบโจทย์ทั้งกระบวนการและในทุกแพลตฟอร์มกำเนิดใหม่ได้อยู่ดี