วัฒนธรรมที่ยั่งยืน

ยอมรับความหลากหลาย เปลี่ยนผ่านตามสมัย เข้าใจถึงแก่นแท้
วัฒนธรรมเป็นการแสดงออกถึงระบบวิธีคิดที่ถูกถ่ายทอดขัดเกลาจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านรูปแบบของคำสอน ความเชื่อ ภาษา พิธีกรรมหรือประเพณีต่าง ฯลฯแต่นานวัน สิ่งเหล่านี้เริ่มสูญหายไปกับ กาลเวลา เรื่องของวัฒนธรรมดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวและไม่ทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่ สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ แต่เป็นการสร้างการเรียนรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น
ในฐานะหน่วยงานเผยแพร่ความรู้ด้านวิชาการ และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมในสังคม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หรือ ศมส.ถูกจัดตั้งขึ้นด้วยพันธกิจการส่งเสริมความรู้ทางมานุษยวิทยารวมทั้งการสร้างเครือข่ายความรู้ทั้งในระดับวิชาการและระดับชุมชนท้องถิ่น ศมส. จึงเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม โดยการส่งเสริมให้สาธารณชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม และกระบวนการทางมานุษยวิทยา
ดร.โสมสุดา ลียะวณิช ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรกล่าวว่าเป้าหมายหลักที่ ศมส. พยายามสร้างความเข้าใจกับสังคมคือแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมให้เกิดความยั่งยืน โดยการให้ความสำคัญกับการรักษารากเหง้าทางวัฒนธรรมเพื่อให้ดำรงอยู่
“หน้าที่ของเราคือการเชื่อมเอาองค์ความรู้ที่มีมาช่วยจัดการในฐานะพี่เลี้ยง เรายังพยายามผลักดันองค์ความรู้ด้านวิชาการสู่ชุมชน โดยหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนวัฒนธรรมภายในชุมชน แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มชาติพันธุ์เอง หรือผู้ที่อยู่ในชุมชนก็ต้องขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เพราะอย่าลืมว่า ศูนย์ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจด้านวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นมากเท่ากับตัวเจ้าของวัฒนธรรม”
ขณะที่ อภินันท์ ธรรมเสนาหัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารความรู้และเครือข่ายสัมพันธ์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรกล่าวถึงแนวคิดเรื่องการอนุรักษ์วัฒนธรรมในประเทศไทยว่าการจะรักษาวัฒนธรรมให้ดำรงอยู่นั้น ไม่เพียงต้องยอมรับความหลากหลายและความแตกต่าง หากจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้วัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงได้ด้วย
แต่หลายครั้งที่การขับเคลื่อนนโยบายด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมกลับมีมุมมองต่อวัฒนธรรมในเชิงอนุรักษ์ ซึ่งทำให้แนวทางการรักษาวัฒนธรรมที่ผ่านมาถูกจำกัดแต่ในมิติการเดินตามแบบแผนดั้งเดิมในอดีตและแตะต้องไม่ได้และมองเพียงแค่วัฒนธรรมส่วนกลาง แต่ลืมท้องถิ่น ฉะนั้นอะไรก็ตามที่ไม่เหมือนกับจารีตมักกลายเป็นเรื่องผิด ซึ่งแนวคิดดังกล่าวอาจมีผลต่อการสูญหายวัฒนธรรมในที่สุด
“แต่ถ้าเราสามารถแตะต้องได้บ้างทำความเข้าใจได้บ้าง ผมเชื่อว่าความยั่งยืนของวัฒนธรรมจะมีมากกว่าการมองทุกอย่างเป็นการแช่แข็งเอาไว้ เพราะถ้ายังมองวัฒนธรรมเป็นแบบนี้ไม่เปลี่ยน ในที่สุดทุกคนก็จะหนีจากเรื่องนี้หมด”
อภินันท์ย้ำว่าในความเป็นจริงเป็นเรื่องปกติที่การเปลี่ยนแปลงของประเพณีหรือวัฒนธรรม จะต้องมีการปรับไปตามยุคสมัย แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนอย่างไร สิ่งที่ยังคงดำรงอยู่คือ “แก่น” หรือแนวคิดที่สอดแทรกอยู่ภายใต้วิถีประเพณีหรือวัฒนธรรมดังกล่าว
“แก่นแท้” ในความหลากหลายของวัฒนธรรมท้องถิ่น คือการสร้างกระบวนการยอมรับแตกต่างและเป็นกุศโลบายของการนำประเพณีและวัฒนธรรมมาใช้เป็นกลไกเพื่อจัดระเบียบในชุมชนให้อยู่ร่วมกันได้ อาทิ พิธีกรรมเรื่องไหว้ผีของคนบางชนเผ่าที่สอนให้รู้จักกตัญญูและเคารพบรรพบุรุษและผู้ใหญ่ในท้องถิ่นประเพณีการผูกสายสะดือป่าของชาวกระเหรี่ยงที่ปลูกฝังแนวคิดในการดูแลรักษาป่าและจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น การรักษาวัฒนธรรมการไหว้เจ้าของคนจีนที่เหนียวแน่น เพราะมีนัยถึงการสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว หรือแม้แต่พิธีการนับถือผีในหลายท้องถิ่นที่วัตถุประสงค์แท้จริงคือการขอบคุณต่อหมอผีที่ช่วยทำการรักษา
“แต่บางครั้ง คนรุ่นใหม่อาจไม่เข้าใจหลักการหรือแก่นของพิธีกรรมเหล่านี้ พอเราใช้มโนทัศน์ของคนยุคใหม่หรือคนเมืองเข้าไปมองประเด็นดังกล่าว จึงเป็นการมองบนพื้นฐานความไม่เข้าใจในวิถีชีวิตของชุมชนเหล่านั้น และไม่เข้าใจความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม”
และการจะสร้างความเข้มแข็งให้คนรับรู้ถึงเรื่องความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ องค์ความรู้เหล่านี้ต้องเกิดการนำไปใช้ โดยผู้สืบทอด ดังนั้น ศูนย์มานุษยวิทยาฯ จึงให้ความสนใจเรื่องบทบาทของผู้สืบทอดวัฒนธรรม
“กลุ่มเป้าหมายหนึ่งที่ศูนย์มานุษยวิทยาให้ความสำคัญ คือกลุ่มผู้ปฏิบัติทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วัฒนธรรมจังหวัด ครูหรือพระ เพราะคนกลุ่มนี้คือปัญญาชนของชุมชน และอีกกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างมาก คือกลุ่มเด็กและเยาวชน เพราะเขาคือคนที่ทำหน้าที่ผู้สืบทอดวัฒนธรรมต่อไป และเป็นผู้ที่จะสร้างความยั่งยืนทางด้านวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนได้มีสององค์ประกอบหลัก หนึ่งชุมชนต้องมีความรู้เรื่องของตนเองดีพอ สองต้องรู้จักปรับหรือประยุกต์ให้สอดคล้องหรือเข้ากับยุคสมัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ก่อนที่จะไปสู่องค์ประกอบหลังได้ อภินันท์อธิบายว่าชุมชนต้องเข้าใจแก่นของวัฒนธรรมหรือความเป็นตัวตนของตนเองอย่างแท้จริงก่อน
โดยได้ยกตัวอย่างโครงการเรื่องเล่าจากบ้านฉัน ซึ่งเป็นโครงการที่ให้เยาวชนใช้สื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น กล้องถ่ายภาพ กล้องวิดีโอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เยาวชนสนใจ นำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการดึงให้เยาวชนสนใจวัฒนธรรม โดยการเก็บข้อมูลชุมชนตัวเอง ผ่านเครื่องมือทันสมัยเหล่านี้ มีการเขียนบท เรื่องเล่า เก็บข้อมูลจากคนสำคัญ คนเฒ่าคนแก่ในชุมชนของตนเอง โดยประโยชน์ที่ได้รับจากกระบวนการเหล่านี้ นอกจากเยาวชนจะมีโอกาสใช้เทคโนโลยีเป็นประโยชน์ในด้านการเป็นสื่อกลาง ในขณะเดียวกัน พวกเขายังได้มีโอกาสสัมผัสและเรียนรู้ วัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นของตนเอง
ผลสำเร็จจากโครงการนี้ เกิดการขยายผลในระดับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ เช่นที่ โรงเรียนบ้านโพนจาน จังหวัดนครพนม มีการขยายผลในหลักสูตรท้องถิ่นโดยให้นักเรียนให้กระบวนการดังกล่าวในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชน เกี่ยวกับลายผ้าทอ เป็นต้น
“บางชุมชนไม่เคยรู้ว่าบ้านตนเองมีภูมิปัญญาอะไรบ้าง เพราะเขาไม่เห็นความสำคัญว่าทำไมต้องสนใจ แต่การเปิดโอกาสให้เขาจึงเริ่มซึมซับและเข้าใจชุมชนของตัวเอง นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเราพยายามที่จะถ่ายโอนความรู้จากภาควิชาการไปสู่ผู้สืบทอดซึ่งเป็นเยาวชนรุ่นใหม่”
อภินันท์กล่าวว่า ปัญหาอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเวลาที่เราแก้ปัญหาสังคม เรามักจะนึกถึงเรื่องทางเศรษฐกิจเป็นหลักหรือเรามักจะไปแก้ที่ตัวบทกฎหมาย และมักหลงลืมมิติทางวัฒนธรรมว่าแท้จริงแล้วมีส่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้
ท้ายที่สุด อภินันท์ให้ความเห็นว่าปัจจุบันชุมชนได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบไป เป็นชุมชนในโลกสมมติหรือโลกจินตนาการ เช่น โซเชียลมีเดีย ในเฟสบุ๊ค ถือเป็นชุมชนรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นด้วยวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เราจึงควรมีการจัดการด้านวัฒนธรรมให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบันของคนไทยตามลักษณะของสังคมที่เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันและต้องส่งเสริมวัฒนธรรมให้เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างแท้จริง










