เริ่มต้นทศวรรษใหม่ เทรนด์การลงทุนแบบไหน? “ใช่เลย”

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ เทรนด์ลงทุนเปลี่ยนไปอย่างไร TMB Advisory มีคำตอบครับ แต่ขอพาย้อนไปดูผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ ในปีที่ผ่านมากันก่อน แม้สงครามการค้าจะมีผลกระทบกับการลงทุนค่อนข้างมาก แต่ถือเป็นปีที่ดีของทั้งหุ้นต่างประเทศ และสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง Property Funds และ REITs ซึ่งต่างให้ผลตอบแทนเป็นเลขสองหลักหรือแม้แต่ตราสารหนี้ก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี เป็นผลจากดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวลดลง และมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ด้วยสภาพคล่องทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง ผลประกอบการบริษัทส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงการเจรจาการค้าก็มีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยผลตอบแทนของสินทรัพย์ต่างๆ เป็นดังนี้
ที่มา: Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562
การเริ่มต้นของทศวรรษใหม่ TMB Advisory มองเทรนด์ การลงทุน ดังนี้
เทคโนโลยี : ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายวงการเผชิญกับคำว่า “disruption” ที่เห็นชัดๆ เช่น ธนาคาร และอุตสาหกรรมการผลิตเป็นต้น โดยมีต้นตอจากการนำ “เทคโนโลยี” มาแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ดังนั้น การลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เช่น Microsoft, Apple และ Alphabet จึงมีความน่าสนใจ เนื่องจากกำไรของบริษัทเหล่านี้เติบโตสูง หนี้สินค่อนข้างต่ำ หรือแทบไม่มีหนี้เลยด้วยซ้ำ และที่สำคัญบริษัทเหล่านี้น่าจะ “อยู่รอด” แม้ในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นใจ
หุ้นจีน A Shares: เป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของรายได้ของประชากรจีน และหลัง MSCI ปรับเพิ่มน้ำหนักในการคำนวณดัชนี น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่หุ้นจีน A Shares โดยหลังเพิ่มน้ำหนักเต็มที่แล้ว น่าจะทำให้น้ำหนักหุ้นจีน A Shares ในดัชนี MSCI Emerging Market เพิ่มเป็น 16% จากราว 1% ก่อนทำการเพิ่มน้ำหนัก (หรือคิดเป็น 16 เท่า) ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ตลาด A Shares ในปริมาณมาก โดยเฉพาะจากกองทุนที่ลงทุนตามดัชนี (Passive Fund) ซึ่งก็น่าจะช่วยหนุนให้ผลงานของหุ้นกลุ่ม A Shares ด้วย
Sustainability: เวลาลงทุนในหุ้น หลายคนอาจสนใจแค่กำไรของบริษัท เพราะมองว่าเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันมูลค่าของบริษัทซึ่งนั่นก็จริง แต่กำไรนั้นอาจตกแต่งได้ และอาจไม่ยั่งยืน คงจะดีถ้ามีปัจจัยที่ช่วยบอกว่า performance ของบริษัทจะเป็นอย่างไรโดยปัจจัยหนึ่งที่พอจะช่วยได้คือ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หรือ “Sustainability” ซึ่งจากการศึกษาของ University of Oxford และ Arabesque Partners พบว่าราว 80% นั้น “ความยั่งยืน” มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพของหุ้นบริษัท กล่าวคือบริษัท ที่มี “คะแนนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability score)” ที่ดี น่าจะทำให้ประสิทธิภาพของหุ้นบริษัทดีด้วย
การศึกษาตลอดชีวิต: หลายคนมองว่าธุรกิจการศึกษาอาจเป็นธุรกิจ“ขาลง” หรือ “Sunset industry” เนื่องจากประชากรที่เกิดใหม่มีแนวโน้มลดลง แต่จริงๆ แล้วการศึกษานั้นเกิดได้ “ตลอดชีวิต” หรือ “lifetime education” โดยการศึกษาดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่เป็นไปตามหลักสูตรดังเช่นในอดีต แต่เป็นการศึกษาเพื่อ “พัฒนาตนเอง”ให้มี “ความรู้” และ “ทักษะ” ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ดังนั้นการลงทุนในบริษัทที่อยู่ในเทรนด์นี้ก็น่าสนใจ
ตราสารหนี้ทั่วโลก: แม้จะมีผลกระทบจากการเก็บภาษีผลตอบแทนการลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากผ่านกองทุนรวม และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยที่ต่ำเตี้ยติดดิน แต่การลงทุนในตราสารหนี้โลกให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี ขณะที่ความผันผวนไม่สูงมากนั้น น่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวได้
เกาะติดประเด็นเสี่ยงต้นตอสร้างความผันผวนในปี 2563
สงครามการค้า: อาจจะลดความรุนแรงลง เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์น่าจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนเพื่อรักษาคะแนนเสียงรอการเลือกตั้งปลายปีนี้ อย่างไรก็ดีประเด็นสงครามการค้าก็อาจสร้างความผันผวนต่อตลาดได้เป็นระยะๆ
เศรษฐกิจประเทศหลักๆ อาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว: ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ได้ทำจุดต่ำสุดไปแล้ว และมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจไทยก็น่าจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกด้วยเช่นกัน
ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ: เศรษฐกิจที่ขยายตัวยังไม่แข็งแกร่งนัก และ อัตราเงินเฟ้อต่ำ ทำให้ธนาคารกลางต่างๆ น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไป และอัดฉีดสภาพคล่องเข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งน่าจะได้เห็นมาตรการด้านการคลังจากรัฐบาลเพิ่มเติม
เลือกตั้งสหรัฐฯ: นักวิเคราะห์คาดว่ามีโอกาสที่ “ทรัมป์” จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ต่อเนื่องซึ่งมองว่าจะเกิดผลดีต่อตลาดถ้าไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากทั้ง 2 สภา และได้ประธานาธิบดีที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ
หนี้ท่วมโลกต้องระวัง: จากดอกเบี้ยที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่วิกฤติ แฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ทำให้ทั้งบริษัทและรัฐบาลระดมกู้เงินจนหนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มรุนแรง จนต้องขึ้นดอกเบี้ย บริษัทและรัฐบาลต่างๆ อาจไม่สามารถหาเงินมาชำระคืนได้ จะนำมาสู่วิกฤติในอนาคต แต่ยังไม่เห็นสัญญาณที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นในเร็วๆ นี้
นั่นเป็นเทรนด์ และประเด็นที่ควรจับตามองสำหรับการลงทุนในปีนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่าการลงทุนอย่างหนึ่งอาจเหมาะกับคนหนึ่งแต่อาจไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่งก็ได้ นั่นเพราะนักลงทุนแต่ละคนมีความต้องการจากการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้แตกต่างกันไป ดังนั้นการจะเลือกลงทุนอะไรก็ต้องให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของเรา และที่สำคัญต้องไม่ลืมคำนึงถึงความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ด้วยนั่นเองครับ
เขียนโดย TMB Advisory
ข้อมูล ณ วันที่ : 3 ม.ค. 62











