เศรษฐีมิลเลนเนียลอินเดีย แห่ลงทุนบ้านหรู ทั้งเติมฝันและทำกำไร

เศรษฐีมิลเลนเนียลอินเดีย แห่ลงทุนบ้านหรู ทั้งเติมฝันและทำกำไร

เศรษฐีมิลเลนเนียลอินเดีย แห่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น โดยเฉพาะบ้านหรูระดับไฮเอนด์ เพราะหวังว่าจะได้กำไรสูง และเติมเต็มความฝันที่ว่า "บ้านคือเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ"

KEY

POINTS

  • กลุ่มคนเจนมิลเลนเนียลของอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 36% ของประชากรในประเทศ และคิดเป็น 54% ของกลุ่มผู้ซื้ออสังหาฯในปี 2566 มีกำลังใช้จ่ายในภาคอสังหาฯมากกว่า 330,000 ล้านดอลลาร์
  • อสังหาฯที่มีราคามากกว่า 4.8 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 172 ล้านบาท พร้อมสระว่ายน้ำ ยิม สวนสวยและที่จอดรถยนต์ 15 คัน มียอดจำหน่ายพุ่งถึง 247% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566
  • หนุ่มสาวอินเดียที่เพิ่งร่ำรวยใหม่ ๆ มีความปราถนาจะครอบครองอสังหาฯ เพราะพวกเขามองว่าบ้านเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ

เศรษฐกิจอินเดียที่โตเร็วแซงหน้าประเทศขนาดใหญ่หลายแห่งของโลกในขณะนี้ กำลังทำให้เกิดเศรษฐีหน้าใหม่จำนวนมากโดยเฉพาะรุ่น “มิลเลนเนียล” หรือเจนวาย ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนการใช้จ่ายและลงทุนในหลายด้านในอินเดีย รวมถึงภาค “อสังหาริมทรัพย์

สำนักข่าวแชนแนล นิวส์ เอเชีย (ซีเอ็นเอ) รายงานว่า ขณะนี้การเติบโตในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยมาจากกำลังซื้อของหนุ่มสาวเศรษฐีอินเดีย โดยคาดว่ากลุ่มคนเจนมิลเลนเนียลของอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 36% ของประชากรในประเทศ และคิดเป็น 54% ของกลุ่มผู้ซื้ออสังหาฯในปี 2566 มีกำลังใช้จ่ายในภาคส่วนนี้มากกว่า 330,000 ล้านดอลลาร์

ด้วยรายได้หลังหักภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น เศรษฐีหนุ่มสาวอินเดียจึงเริ่มสนใจบ้านหลังใหญ่ๆ และหันไปลงทุนอสังหาฯโดยเฉพาะอสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ เพื่อหวังได้รับผลตอบแทนก้อนใหญ่มากขึ้น

ตามข้อมูลสถิติการตลาด ระบุว่า ยอดขายที่อยู่อาศัยแบบลักซ์ชัวรีในเมืองใหญ่ ๆ ทั้ง 7 เมืองของอินเดียในปี 2566 เติบโตจากปี 2561 มากถึง 5 เท่า โดยอสังหาฯที่มีราคามากกว่า 4.8 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 172 ล้านบาท พร้อมสระว่ายน้ำ ยิม สวนสวยและที่จอดรถยนต์ 15 คัน มียอดจำหน่ายพุ่งถึง 247% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566

ผู้เชี่ยวชาญที่จับตาดูอุตสาหกรรมนี้เผยกับซีเอ็นเอว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น ส่วนหนึ่งได้แรงขับเคลื่อนมาจากกลุ่มคนอินเดียร่ำรวยที่กำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่กว้างมากขึ้น หลังช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19

ดีมานด์บ้านหรูพุ่ง

อันกิต มิตทัล หนุ่มอินเดียวัย 35 ปี ผู้เข้าสู่วงการลงทุนอสังหาฯ และเจ้าของกิจการ นักลงทุน รวมถึงที่ปรึกษาบริษัทสตาร์ตอัป ได้เข้าซื้ออพาร์ตเมนต์ระดับพรีเมียมลักซ์ชัวรีในเมืองคุรุคราม เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเมืองอยู่ห่างจากกรุงนิวเดลีเพียง 40 นาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ มิตทัลยังได้ซื้ออพาร์ตเมนต์ 4 ห้องนอนบนชั้น 33 มูลค่ากว่า 300,000 ดอลลาร์ในปี 2564 และในปีนี้อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของราคาที่มิตทัลซื้อไปแล้ว

“เราอยากลงทุนในอสังหาฯ ที่เราค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่ขาดทุน ซึ่งอาจมีความยุ่งยากเล็กน้อย เพราะเราต้องการอสังหาฯ ที่มีความสมดุล ทั้งช่วยสร้างโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีๆและเป็นอสังหาฯที่ดีต่อการอยู่อาศัย”มิตทัล กล่าว

ปราชานต์ ทากูร ผู้อำนวยการอาวุโส จากบริษัทที่ปรึกษา อนาร็อค พร็อพเพอร์ตี คอนซัลแทนส์เผยกับซีเอ็นเอว่า ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งหมดฟื้นตัวอย่างมากหลังการแพร่ระบาดโควิด โดยเฉพาะภาคอสังหาฯ ลักซ์ชัวรี และอัลตราลักซ์ชัวรี

“เหตุผลที่สำคัญที่สุดอันดับต้น ๆ คือ คนจำนวนมากตระหนักถึงความสำคัญด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งจัดเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนแปลงที่อยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเปลี่ยนจากบ้านหลังเล็กเป็นบ้านที่หลังใหญ่ขึ้น" ทากูร กล่าว และย้ำว่าในช่วงการแพร่ระบาดโควิด ตลาดหุ้นไปได้สวย ผู้คนเก็บเงินได้เยอะและไม่ค่อยนำออกมาใช้เมื่อโควิดจบแล้วจึงแห่ย้ายเงินจากการลงทุนหุ้น ไปยังตลาดสินทรัพย์ที่จับต้องได้มากขึ้น

บ้านพิสูจน์ความสำเร็จ

หนุ่มสาวอินเดียที่เพิ่งร่ำรวยใหม่ ๆ มีความปราถนาจะครอบครองอสังหาฯ เพราะพวกเขามองว่าบ้านเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ

ผลสำรวจจากซีบีอาร์อี ธุรกิจอสังหาเชิงพาณิชย์ระดับโลกระบุว่าเหล่ามิลเลนเนียล 44% ในอินเดียมีแผนนำรายได้ของตนเองไปลงทุนที่อยู่อาศัยภายในอีก 2 ปีข้างหน้า

ผู้สังเกตการณ์ตลาดกล่าวว่า สถานการณ์การลงทุนคนรุ่นนี้แตกต่างจากคนรุ่นก่อนมาก เนื่องจากคนรุ่นก่อน ๆ มักลงทุนในหุ้นหรือทองคำมากกว่า

อิชาน สาร์รา โบรกเกอร์อสังหาฯที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ กล่าวว่า “คนรุ่นมิลเลนเนียลได้รับผลตอบแทนจากหุ้นและมีรายได้จากการขายธุรกิจและสตาร์ตอัปจำนวนมาก คนกลุ่มนี้เอาเงินไปลงทุนในอสังหาฯ เพราะเฝ้าฝันมาตลอดว่าจะมีบ้านสวย ๆ สักวันหนึ่ง เมื่อมีรายได้มากมาย จึงเป็นแรงผลักดันให้คนรุ่นใหม่หาซื้ออสังหาฯ หรูหรา”

แน่นอนว่าเมื่อผู้ซื้อหนุ่มสาวมีความต้องการลงทุนที่อยู่อาศัยมากขึ้น ผู้ขายก็หันมาถือครองทรัพย์สินนานขึ้นเพื่อหนุนให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น

“คนซื้อหนุ่มสาวยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อให้ได้สิ่งที่ปราถนา ขณะที่ผู้ขายก็พึงพอใจคนซื้อรุ่นใหม่เช่นกัน” สาร์รา กล่าว

อย่างไรก็ตาม อสังหาฯ ลักซ์ชัวรีที่กำลังเติบโต สร้างรายได้ให้เศรษฐีรุ่นใหม่ในเมืองใหญ่ ๆ ได้เพียงเล็กน้อย เพราะเมืองใหญ่ ๆ เป็นพื้นที่ที่ชาวอินเดียส่วนมากไม่สามารถซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยได้

ยกตัวอย่างเช่น อพาร์ตเมนต์หรูหราของมิตทัล มีค่าเช่ารายปีเฉลี่ยเกือบ 10,000 ดอลลาร์ หรือราว 360,000 บาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ารายได้ต่อหัวของประชากรอินเดียเกือบ 10 เท่า ซึ่งข้อมูลจากรัฐบาลอินเดียระบุว่า รายได้เฉลี่ยต่อปีในประเทศยังคงต่ำกว่า1,200 ดอลลาร์ หรือประมาณ 43,000 บาทต่อปีเท่านั้น

ปัญหาขาดแคลนที่อยู่อาศัยของคนจนในอินเดียจึงยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ไขต่อไป

สิ่งที่มหาเศรษฐีอินเดียเลือกลงทุน

ส่องตลาดสินค้าลักซ์ชัวรีที่มหาเศรษฐีอินเดียเลือกลงทุน

จากรายงาน The Wealth Report 2024 ของไนท์แฟรงก์ ซึ่งมีการสำรวจมหาเศรษฐีอินเดียกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสูง (Ultra-High-Net-Worth) หรือกลุ่มที่มีความมั่งคั่งสุทธิ 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (ราว 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) พบว่า นอกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แล้ว “สินค้าลักซ์ชัวรี” ยังเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่กลุ่มคนซูเปอร์ริช สนใจลงทุนอย่างคับคั่งด้วย

รายงานระบุว่าในปี 2566 ขณะที่มหาเศรษฐีอินเดีย 32% ยังคงพึงพอใจในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่มหาเศรษฐีอีกจำนวนไม่น้อยถึง 17% เลือกลงทุนในสินค้าลักซ์ชัวรีโดยเฉพาะ

กลุ่มซูเปอร์ริชดังกล่าวเลือกลงทุนในสินค้าลักซ์ชัวร์หลายอย่าง ซึ่งสินค้าลักซ์ชัวรีอันดับ 1 ที่เป็นที่ต้องการของเหล่ามหาเศรษฐีคือ นาฬิกา รองลงมาเป็นงานศิลปะ และเครื่องประดับ อันดับ 4 เป็นรถยนต์คลาสสิก รองลงมาอีกเป็นกระเป๋าหรู ไวน์ วิสกี้หายาก เฟอร์นิเจอร์ และเพชรพลอย

รายงานเผยว่า ความสุขในการได้ครอบครองของมีค่า เป็นเหตุผลอันดับต้นๆ ที่มหาเศรษฐีเลือกซื้อสินค้าดังกล่าว

ชิชีร์ ไบจาล ประธานและกรรมการผู้จัดการของไนท์แฟรงค์อินเดีย ระบุในรายงานว่า มหาเศรษฐีอินเดียมีความชื่นชอบของสะสมหลากหลายประเภทมานานแล้ว และด้วยตลาดทั้งในประเทศและทั่วโลก ต่างให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินค้าลักซ์ชัวรีมากขึ้น มหาเศรษฐีอินเดียจึงหาโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ประเภทนี้อย่างแข็งขัน ซึ่งสอดคล้องกับความชื่นชอบของพวกเขาอยู่แล้ว

ดัชนีการลงทุนสินค้าลักซ์ชัวรีของไนท์แฟรงก์ (KFLII) ที่ติดตามผลตอบแทนการลงทุนสินค้าหรูที่นิยม 10 อันดับแรก ระบุว่า งานศิลปะเป็นสินทรัพย์ลักซ์ชัวรีที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 11% ในปี 2566 ส่วนวิสกี้หายากยังคงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนมากถึง 280%

ไบจาลย้ำว่า 

“ความต้องการของสะสมหายากเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุในอินเดีย และขณะที่ความมั่งคั่งของผู้คนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เราคาดว่ามหาเศรษฐีจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ต่อไป”

นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า อินเดียมีมหาเศรษฐีระดับ UHNW เพิ่มขึ้น 6.1% ในปี 2566 และคาดว่าจะเติบโต 50% จากระดับ 13,263 คนในปีนี้ สู่ระดับ 19,908 คนในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยจำนวนมหาเศรษฐีทั่วโลกมาก

อ้างอิง: CNA