วิกฤติอสังหาฯกำลังซื้อหด-ประชากรลด ถึงเวลาหยุดวาทกรรม"ขายชาติ"?

วิกฤติอสังหาฯกำลังซื้อหด-ประชากรลด ถึงเวลาหยุดวาทกรรม"ขายชาติ"?

จากภาพรวมปี66หน่วยโอนคอนโดต่างชาติมีจำนวน1.4หมื่นหน่วยคิดเป็นมูลค่า7.3หมื่นล้านสวนทางกับดีมานด์ในประเทศ"หดตัว"จากกำลังซื้อที่ถดถอยและจำนวนประชากร"ลดลง"ก่อเกิดวิกฤติอสังหาฯไทยในอนาคต ดีเวลลอปเปอร์ชงเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อถูกกฏหมายมากขึ้น

ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมชาวต่างชาติให้มีสิทธิ์​ซื้อ​บ้าน-ที่ดินในประเทศไทย เพราะที่ผ่านมาเวลาที่มีแนวคิดที่ให้ต่างชาติมาซื้อบ้านในประเทศไทยมักจะเกิดเกิดวาทกรรมขายชาติ  งันถ้าผมเปรียบเทียบว่า ถ้าคนไทยแต่งงานกับคนต่างชาติเท่ากับขายชาติไหม  

ยกตัวอย่างประเทศรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)หรือดูไบ ที่มีนโยบายที่เอื้อต่างชาติ สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศได้ สามารถมีรายได้จากการพัฒนาอสังหาฯมาพัฒนาประเทศเจริญก้าวหน้าได้ อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่อย่างโครงการเดอะปาล์ม โครงการปาล์มจีเบลอาลี โครงการเดอะเวิลด์ เกาะดาเรีย เป็นต้น


 

“เขาสามารถพลิกพื้นที่ทะเลทรายพัฒนาเป็นโรงแรม คอนโด ออฟฟิศ ศูนย์การค้า จัดงานแสดงสินค้าให้ต่างชาติเข้ามาใช้บริการ กลายเป็นจุดขายให้กับประเทศได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ล่าสุดมีการพัฒนามิวเซียมให้คนต่างชาติเข้าไปชมอีกด้วย ปัจจุบันมีคนต่างชาติเข้าไปทำงานพักอาศัยถึง80% ได้เงินกลับมาพัฒนาประเทศมหาศาลจากการพัฒนาที่ดินเป็นทะเลทรายมาเป็นตึกสูงดึงคนต่างชาติเข้ามาซื้อลงทุน ”

ขณะที่ประเทศรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนเหมือนบีโอไอ เก็บภาษีต่างชาติเขา4% ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามามหาศาล แต่ประเทศไทยไม่ได้คิดแบบนั้น เน้นให้คนต่างชาติเข้ามาเที่ยวระยะสั้นปีละ40-50ล้านคน แต่ถ้าเขาจะมาซื้อบ้านอยู่ปีละ4-5เดือนเป็นบ้านหลังที่สอง มีการจับจ่ายใช้สอยทุกวันต่อเนื่อง กลับมองว่า ขายชาติ  

 

" เราคิดผิดไปหรือป่าว  ผมว่า เขามาอยู่ระยะยาวน่าจะดีกว่าลองคิดใหม่  ลองเทียบประเทศต่างๆ เพราะประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ยอมให้ต่างชาติซื้อไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ คนต่างชาติซื้อได้ ไม่มีข้อห้าม หรืออย่าง UAE ส่งเสริม ลองเปรียบเทียบดูว่าอะไรเป็นประโยชน์กับประเทศมากกว่ากัน "

ชงต่างชาติมาซื้อบ้านหลังที่ 2

ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เห็นด้วยที่ดึงคนต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาฯในประเทศ โดยมีกฏเกณฑ์ในการควบคุมที่เหมาะสม เพราะจะเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศในระยะยาว และเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ เหมือนกับที่คนไทยไปซื้ออสังหาฯในต่างประเทศ 

"ตัวผมเองไปซื้ออสังหาฯในอังกฤษ เพราะลูกสาวไปเรียนหนังสือในอังกฤษ ผมต้องจ่ายค่าส่วนกลาง ค่าเดินทาง ลูกสาวผมต้องใช้เงินระหว่างที่เรียนอยู่เป็นจำนวนมากจ่ายค่าน้ำค่าไฟ  จ้างแม่บ้านมาดูแล ซึ่งเป็นรายจ่ายที่ต่อเนื่อง "

การซื้อขายที่ดินให้ต่างชาติไม่ใช่เป็นที่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะเขาไม่สามารถยกกลับไปประเทศเขาได้ และสามารถออกกฏหมายในการกำกับดูแลออกมาควบคุมได้ด้วยการเก็บภาษีแพง เพื่อให้เขาขายคืนได้ เพราะสิทธิ์ของประเทศไทยเหมือนอย่างประเทศสิงคโปร์

ปัจจุบันเก็บภาษีคนต่างชาติที่ซื้ออสังหาฯถึง60% เพราะปัจจุบันราคาอสังหาฯในประเทศมีราคาแพง และนำเงินที่ได้ไปสนับสนุนให้คนสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาไม่แพง

"จึงอยากเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนต่างชาติมาซื้อบ้านหลังที่ 2 รองรับวัยเกษียณ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยผ่อนเงื่อนไขให้ เช่น ผ่อนผันให้ซื้อบ้านจัดสรรได้แต่กำหนดว่าให้ซื้อในสัดส่วนเท่าไหร่เหมือนกับคอนโดที่ต่างชาติซื้อได้ในสัดส่วน 49% และให้จ่ายภาษีในอัตราที่แพงกว่าคนไทย"


แนะรัฐดึงผู้สูงวัยต่างชาติซื้อบ้าน

ชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า แนวทางการส่งเสริมการส่งออกของประเทศไทยหลักๆเน้นการดึงเม็ดเงินลงทุนสร้างโรงงาน ทำให้เกิดมลพิษเข้ามาแต่ไม่มีการจ้างงาน เพราะโรงงานใช้หุ่นยนต์ ทั้งที่ลดภาษีให้แต่ไม่มีการจ้างงาน แล้วประเทศไทยได้อะไร แต่ถ้ารัฐบาลส่งเสริมภาคอสังหาฯ ซึ่งเป็นเซกเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเกี่ยวเนื่องหลายภาคส่วนทั้งแรงงาน วัสดุ และคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ก็มีการจับจ่ายใช้สอยต่อเนื่อง

"ที่ผ่านมาเห็นได้ว่า ตลาดนี้มีดีมานด์ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนต่างชาติที่อยู่ในวัยเกษียณ หากประเทศไทยทำได้ดีเชื่อว่าไม่แพ้กับดูไบ "

อนาคตอสังหาฯไทย ถือว่ามีความเสี่ยงเพราะอัตราการเกิดน้อยลง รายได้ลดลงสวนทางกับราคาบ้านสูงขึ้น การดึงดีมานด์ต่างชาติเข้ามาช่วยพยุงตลาดถือเป็นแนวทางช่วยประคองตลาด ขณะเดียวกันควรส่งเสริมให้ชนชั้นกลางสามารถมีบ้านได้ด้วยการให้สิทธิพิเศษทางภาษี กับกลุ่มคนที่กำลังมีครอบครัวหรือมีลูก