เปิดพิมพ์เขียว ‘กาสิโน’ ยุค ‘เพื่อไทย’

เปิดพิมพ์เขียว ‘กาสิโน’ ยุค ‘เพื่อไทย’

ท่าทีของ “เศรษฐา ทวีสิน” ยอมรับว่า การเปิด “กาสิโน” ถูกกฎหมายในประเทศไทย ต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะแล้วเสร็จ ขณะนี้ให้ว่าไปตามกลไกสภาฯ 

Key Points

  • สาระสำคัญ 3 ส่วนหลัก ร่าง พ.ร.บ. วางแนวทาง กำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ ผ่าน 2 คณะกรรมการ การจัดเก็บรายได้ และมาตรการรองรับผลกระทบ 
  • เตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณารับรองในวันที่ 28 มี.ค.
  •  เสนอยกระดับพนันท้องถิ่น มวยไทย ไก่ชน ปลากัด วัวชน ม้าแข่ง ถูกกฎหมาย
  • เสนอตั้งภาษีกาสิโนโดยเฉพาะ เก็บภาษีสรรพากรขั้นบันได 

การจัดทำรายงานผลการศึกษาการเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (ENTERTAINMENT COMPLEX) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่มี "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" รมช.คลัง เป็นประธาน เสร็จสิ้นแล้ว

สาระสำคัญที่ระบุไว้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ. ที่วางแนวทางการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการ ผ่าน 2 คณะกรรมการ การจัดเก็บรายได้ และมาตรการรองรับผลกระทบ ขั้นตอนต่อไปเตรียมเสนอสภาผู้แทนราษฎร พิจารณารับรองในวันที่ 28 มี.ค.นี้

พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร 

คณะอนุกรรมาธิการพิจารณากฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร ที่มี โกศล ปัทมะ สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ได้ร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. แบ่งออกเป็น 10 หมวด รวมทั้งสิ้น 68 มาตรา ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ให้มีคณะกรรมการ 2 คณะ

1.คณะกรรมการนโยบายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย การอนุมัติ เพิกถอนใบอนุญาต กำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจ กำหนดประเภทธุรกิจ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข อัตราค่าธรรมเนียม และอื่นๆ

 

เปิดพิมพ์เขียว ‘กาสิโน’ ยุค ‘เพื่อไทย’

2.คณะกรรมการบริหารสถานบันเทิงครบวงจร ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เลขาธิการปปง. ผบ.ตร. เป็นต้น 

มีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และอื่นๆ โดยให้มีสำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (กธบ.) เป็นฝ่ายเลขานุการ

เปิดพิกัด ทำเลที่ตั้ง 

รายงานของกมธ. วางแนวทางพื้นที่ที่เหมาะสมอาจจะเป็นในเขต กทม. และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก EEC เมืองหลักท่องเที่ยว เบื้องต้นการศึกษาในการสร้างสถานบันเทิงครบวงจร ได้แก่ พื้นที่ในรัศมีไม่เกิน 100 กม.จากสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ครอบคลุม 17 จังหวัดภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมถึงพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวหลัก 22 จังหวัด และพื้นที่ตามแนวชายแดน 22 จังหวัด

เก็บภาษี 8.4 หมื่นล้าน 

องค์ประกอบของการจัดตั้ง Entertainment Complex ครบวงจรขนาดใหญ่ ถ้าใช้พื้นที่ขนาด 10 - 30 ล้านตารางเมตร เงินลงทุนประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 280,000 ล้านบาท) มีการจ้างงานที่ 30,000 คน ระยะเวลาการก่อสร้าง 5-10 ปี  สร้างงานในพื้นที่ได้ประมาณ 2 -3 แสนคน ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ประมาณ 20 ล้านคนต่อปี สามารถจัดเก็บภาษีได้ 1.7-2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 59,500-84,000ล้านบาท)

โดยจะประกอบด้วยธุรกิจต่างๆ เช่น 1.ห้างสรรพสินค้าครบวงจร 2.โรงแรมระดับ 5 ดาว 3.ร้านอาหารและบาร์ 4.ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่ (MICE) 5.ศูนย์สุขภาพครบวงจร 6.สนามกีฬา 7.ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ 8.สถานที่เล่นเกม 9.สระว่ายน้ำ และสวนน้ำ 10.สวนสนุก 11.พื้นที่สำหรับส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และสินค้า OTOP 12.กิจกรรมอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารฯกำหนด

เปิดพิมพ์เขียว ‘กาสิโน’ ยุค ‘เพื่อไทย’

เสนอตั้งภาษีกาสิโนโดยเฉพาะ 

กมธ.มองว่าควรมีการตั้งภาษีกาสิโนขึ้นมา โดยเฉพาะเพื่อเก็บกับผู้ประกอบการธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยคิดจากรายได้ขั้นต้นจากการเล่นพนัน (Gross Gambling Revenue ; GGR) คือ รายได้หลังการหักค่าใช้จ่ายเบื้องต้นที่ผู้ประกอบการได้จากผู้เล่น อำนาจในการกำหนดอัตราภาษีอยู่ที่คณะกรรมการนโยบายฯ โดยรัฐอาจตั้งอัตราภาษีระดับต่ำในช่วงแรก เพื่อดึงดูดการลงทุน และขึ้นอัตราภาษีให้มีระดับที่สูงขึ้นในระยะกลางและระยะยาวตามลำดับ

 

เสนอเก็บภาษีสรรพากรขั้นบันได 

กรมสรรพากรได้ให้ข้อเสนอต่อนโยบายภาษีสรรพากร และการจัดเก็บรายได้ โดยเทียบเคียงจากกฎหมายของต่างประเทศ 

1.ผู้เล่นควรได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 

2.ผู้ประกอบการอาจเก็บภาษีโดยใช้ฐานภาษี GGR ตัวอย่าง เช่น 

รายรับรวมจากการเล่นเกม GGR 0-20 ล้านบาท อัตราภาษี ร้อยละ20 

รายรับรวมจากการเล่นเกม GGR มากกว่า 20-40 ล้านบาท อัตราภาษี ร้อยละ 25

และรายรับรวมจากการเล่นเกม GGR 40 ล้านบาทขึ้นไป อัตราภาษี ร้อยละ30

จากการศึกษากรณีสิงคโปร์ สถานบันเทิงครบวงจร สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อสิงคโปร์ได้อย่างมีนัยสำคัญคือ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ กว่า 3 แสนล้านบาท การจ้างงานที่มีรายได้สูงมากกว่า 20,000 ตำแหน่ง การเพิ่มรายได้ภาคการท่องเที่ยวมากกว่าร้อยละ 47 เทียบกับก่อนการสร้างสถานบันเทิงครบวงจร และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อ GDP สิงคโปร์ประมาณร้อยละ 2 คิดเป็นมูลค่ากว่า 240,000 ล้านบาท เป็นต้น

รัฐบาลสิงคโปร์สามารถจัดเก็บภาษี และนำเงินเข้ากองทุนเพื่อบำบัดและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ และปราบปรามการพนันที่ผิดกฎหมาย

 

ยกระดับพนันท้องถิ่นไทยถูกกฎหมาย 

กมธ. มีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตควรพิจารณายกระดับการเล่นพนันของท้องถิ่น เช่น ไก่ชน ปลากัด วัวชน ม้าแข่ง ให้ขึ้นสู่การแข่งขันในระดับชาติ และควรส่งเสริมให้กีฬาที่เป็นวัฒนธรรมไทย เช่น มวยไทย ให้ขึ้นมาเป็นการพนันที่ถูกกฎหมาย เป็น Soft Power ที่ทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักมวยไทย ซึ่งที่ผ่านมามีการเล่นพนันอย่างแพร่หลายผ่านระบบออนไลน์

 

สกัดเล่นพนันออนไลน์ เงินไหลออก

อีกข้อสังเกตของกมธ. มองว่า การเปิดกาสิโนถูกกฎหมายโดยให้เล่นในระบบออนไลน์ การกระจายรายได้จะไม่เกิดประสิทธิภาพ มีปัญหาในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ สุ่มเสี่ยงต่อการที่เว็บไซต์การพนันจะนำไปใช้ประโยชน์ และทำให้เงินรั่วไหลไปยังต่างประเทศ

 

วางมาตรการควบคุม 

กมธ.ได้ศึกษาโมเดลของหลายประเทศหลายอย่างสอดคล้องกัน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย คือ ห้ามบุคคลอายุต่ำกว่า 21 ปีบริบูรณ์เข้ากาสิโน และสิงคโปร์ ยังมีองค์การกำกับดูแลการพนันแห่งสิงคโปร์ คือ Gambling Regulatory Authority of Singapore (GRA) มีการห้ามจัดทำข้อตกลงด้านการตลาด การจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่น หรือจ่ายผลประโยชน์ใดๆ ที่คำนวณจากจำนวนผู้เข้าใช้บริการ หรือเงินที่ได้รับจากการเล่นเกมกาสิโน

กำหนดค่าเข้าใช้บริการของคนสิงคโปร์ 100 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อ 24 ชั่วโมง หรือ 2,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ สำหรับค่าเข้าใช้รายปี เงินส่วนนี้ นำส่ง the Singapore Totalizator Board ใช้จ่ายในกิจการเพื่อสังคม และกาสิโนต้องเสียภาษี (CASINO TAX) ให้แก่กรมสรรพากรสิงคโปร์ทุกเดือน

ปปง.หนุน แก้ปัญหาผลกระทบ 

ข้อมูลจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ระบุว่า สังคมไทยกับการพนันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยข้อมูลของประเทศเพื่อนบ้านที่มีการอนุญาตให้ตั้งกาสิโน จะมีคนไทยเดินทางออกไปเล่นการพนัน และเล่นออนไลน์ ทำให้เกิดปัญหาฟอกเงินมากขึ้น

 ปัจจุบันนิยมใช้ทรัพย์สินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) ในการฟอกเงิน เมื่อได้ทรัพย์สินจากการกระทำผิด จะใช้วิธีแปลงเงินสดเป็นเงินดิจิทัลผ่านผู้ค้าส่วนบุคคล ซึ่งยังไม่มีกฎหมายควบคุม ทำให้เวลาจับกุม มักไม่พบทรัพย์สินจากการกระทำความผิด

จากข้อมูล ปปง.พบว่า ทรัพย์สินในประเทศไทยมีการรั่วไหลออกนอกประเทศเดือนละ1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์สินที่มาจากการพนัน ทั้งนี้ คณะกรรมการปปง. เห็นด้วยถ้าประเทศไทยจะเปิดสถานบริการที่มีกาสิโน เพราะเมื่อได้ศึกษาจากประเทศที่กฎหมายเคร่งครัด อย่างประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ออกใบอนุญาตโดยมีเป้าหมายหลักจากนักท่องเที่ยว หากเป็นพลเมืองจากประเทศตนเองเข้ามาเล่น ต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่ประเทศไทยจะนำแบบอย่างประเทศเพื่อนบ้าน

แต่ส่วนที่ต้องแก้ไข คือมาตรการทางกฎหมายทิศทางการเงินที่แปลงเป็นทรัพย์สินดิจิทัล โดยเฉพาะบัญชีม้าในการทำธุรกรรม ปัจจุบันมีการประมาณการว่า มีบัญชีม้าอยู่ 3 แสนบัญชี

 

คาด 2028 สถานบันเทิงโต 2.2 ลล.USD

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ข้อมูลว่า ในปี2022 ทั่วโลกมีมูลค่าสถานบันเทิงครบวงจรประมาณ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าในปี 2028 คาดจะเติบโตถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

ข้อมูลจาก Statista พบว่า ประเทศที่มีรายได้สูงสุด ได้แก่ มาเก๊า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลาสเวกัส 30,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ สิงคโปร์ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกาหลีใต้ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฟิลิปปินส์ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เวียดนาม 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภูมิภาคที่มีมูลค่าสูงสุดได้แก่ เอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ และยุโรป

 

1 ใน 3 ของญี่ปุ่นได้ฤกษ์เปิดปี 2029 

รัฐบาลญี่ปุ่นอนุมัติแผนก่อสร้างสถานบันเทิงครบวงจร 3 แห่ง กำลังก่อสร้างในโอซากะ เตรียมเปิดทำการในปี 2029 ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 492,000 ตารางเมตร โดยคาดการณ์ว่าจะดึงดูด นักท่องเที่ยวกว่า 20 ล้านคน และสร้างรายได้กว่า 520 พันล้านเยน อีก 2 แห่ง ที่เมืองนางาซากิ จะสร้างเสร็จในปี 2030 และเมืองฟุกุโอกะ จะสร้างเสร็จในปี 2031

โดยญี่ปุ่นคำนึงถึงหลักการพื้นฐานส่งเสริมการท่องเที่ยว ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจที่ภูมิภาคนั้นจะได้รับกำไรจากธุรกิจกาสิโน จะตอบแทนสู่สังคม

ทั้งนี้ ท่าทีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ยอมรับว่า การเปิดกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย ต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะแล้วเสร็จ ขณะนี้ให้ว่าไปตามกลไกสภาฯ 

เรื่องนี้จึงเป็นหนังม้วนยาว เมื่อถึงเวลารัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าหรือไม่อย่างไร จะปรับแก้พิมพ์เขียวของ กมธ.ชุดนี้แค่ไหน คงต้องติดตามกันต่อไป