เลขา กกต.สั่งปูพรมจับตาทั่ว ปท.ป้องคน-พรรคการเมืองฮั้วส่งผู้สมัคร สว.

เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2567 ที่ห้องประชุม 201 ชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กทม. สำนักงาน กกต.จัดประชุมให้ความรู้แก่สื่อมวลชนในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) "สาระรอบรู้เรื่อง สว. ปี 67"  

นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.กล่าวตอนหนึ่งว่า ประเด็นสำคัญที่มีการพูดถึงคือจะป้องกันพวกฮั้วกันมา หรือจัดตั้งกันมา สำนักงานต้องดูว่าผิดกฎหมาย หรือมีวิธีการอย่างไร สำนักงานจะทำอย่างไรให้ได้ สว.ตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ และเป็นที่ยอมรับ ส่วนจะดีจะร้ายอย่างไร อยู่ที่ผู้สมัคร ที่เลือกกันมาเอง ถ้าประชาชนคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติ มีดีพอ ก็เข้ามาเป็นผู้ถูกเลือก หรือผู้เลือกในตัวด้วย คนมาสมัครไม่ใช่จัดตั้งกันมาเพื่อมาเป็นแค่ผู้เลือก หมายถึงสมัคร สว.เพื่อมาเลือกนาย ก. นาย ข. นั่นไม่ใช่เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คนละแบบกัน อยากให้ความมั่นใจว่าสำนักงาน จะรักษาเป้าหมายตรงนี้ จนกว่าจะได้ สว.ครบ 200 คน

นายแสวง กล่าวอีกว่า ในระหว่างที่มีการเลือกตั้ง สว.ไม่มีการหาเสียง มีแค่แนะนำตัว เพราะกฎหมายถือว่าท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีชื่อเสียงอยู่แล้ว แค่อ่านจากกระดาษแนะนำตัว หรือทางโซเชียลมีเดียก็ให้ น่าจะเพียงพอต่อที่จะเป็นข้อมูลให้กลุ่มอาชีพ หรือการเลือกไขว้ ตั้งแต่ระดับอำเภอ ถึงระดับประเทศ สามารถเลือกผู้ทรงคุณวุฒิได้อย่างถูกต้อง แต่มาตรการอื่น ๆ ที่ผู้สมัครจะทำเกินไปกว่านั้น เช่น ไปพบปะพูดคุย หรือทำเกินกว่าวิธีการแนะนำตัว เราจะต้องสอดส่องดูแลในระดับอำเภอ มีอยู่ 928 อำเภอ รวมเขตด้วย ต้องตรวจตราดูว่า ผู้สมัครแต่ละคน เมื่อมีคน หรือพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ มีการประชุมกันที่ไหน สำนักงานจะเฝ้าตรวจดูทุกที่ อำเภอเล็ก ๆ ไม่เป็นปัญหา แต่อำเภอใหญ่ ๆ หรือในเขต กทม. แต่เบื้องต้นเรารู้ตัวคน รู้เรื่องพรรคแล้ว ไม่เกินวิสัยที่สำนักงาน จะทำได้ 

เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ส่วนความพร้อม งบประมาณของรัฐบาลจัดหามาให้ ถ้าไม่พอเพียงอย่างไร ขอเพิ่มเติมได้ งบประมาณเลือก สว.อยู่ประมาณ 1 พันล้านเศษ ๆ ไม่ได้สูงมาก เนื่องจากเป็นการเลือกเฉพาะผู้มีสิทธิเลือกแค่นั้น ไม่ใช่ให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่บุคลากรและเครือข่าย ขณะนี้อย่างที่บอกว่า สำนักงานมีเครือข่ายที่จะทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ประสานงานกันไว้ครบถ้วน ได้ประสานงานกับการเลือกตั้ง สส.คล้าย ๆ กัน แต่สิ่งที่อาจต่างกันในครั้งนี้ หน่วยล่างสุดคืออำเภอ มีนายอำเภอประธานกรรมการเลือก และรู้กฎระเบียบ รู้กฎหมายอย่างดี เชื่อมั่นว่าจะดูแลพื้นที่ในอำเภอได้เป็นอย่างดี เบื้องต้นได้ไปพบกับอธิบดีกรมการปกครอง และคณะ เพื่อหารือกันแล้ว เชื่อมั่นว่าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะจุดแตกหักอยู่ที่อำเภอ ถ้าหลุดอำเภอมาก็ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว ในจังหวัดคนก็เหลือน้อย เหมือนกับวิ่งทางตรงไปแล้ว แต่ในอำเภอเรายังประเมินไม่ได้ว่า คนสมัครเท่าไหร่ อาจจะไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน 
    
“โจทย์เราอย่างที่บอกคือการตรวจสอบคุณสมบัติ พยายามจะรับมือ และทำงานเชิงรุก โดยให้ผู้ประสงค์สมัคร ตรวจสอบคุณสมบัติล่วงหน้าเบื้องต้นว่า มีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามหรือไม่ หรือกลุ่มอาชีพที่ถูกต้องควรจะลงที่ไหน เพราะเป็นเรื่องใหม่ทั้งเรา และผู้สมัคร” นายแสวง กล่าว

เลขาธิการ กกต.กล่าวอีกว่า แม้เราอาจเคยเลือก สว.ตอนปี 2561 ที่เป็นบทเฉพาะกาล ตรงนั้นอาจไม่ได้ซับซ้อนขนาดนี้ และผู้สมัครก็มีจำนวนน้อยมาก ด้วยเงื่อนไขตามบทเฉพาะกาลไม่เหมือนครั้งนี้ แต่ครั้งนี้คือใครผ่าน 200 คน และติดสำรองอีก 100 คนคือได้เป็นเลย ไม่ต้องให้ใครมาหยิบมาอะไรอย่างนี้ การแข่งขันน่าจะเข้มข้นขึ้น ลำบากใจแทนผู้สมัครเหมือนกันเวลาเลือกไขว้ระดับประเทศ ถ้าไม่ดีจริงคงจะผ่านยาก ส่วนที่ว่าจะจัดตั้งกันมา เรื่องนี้สำนักงานดูอยู่แล้ว จะให้ความเป็นธรรมกับทุกผู้สมัครอย่างเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องอื่น เห็นว่า ยังไม่น่าจะเป็นที่หนักใจ คิดว่ากระบวนการที่เตรียมรับมือแต่ต้นจนถึงวันนี้ ตลอดจากนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง สว. จนได้ครบ 200 คน เราจะได้ สว.ภายใน 57-59 วัน โดย สว.ไม่ได้กำหนดเวลาเหมือนเลือกตั้ง สส. แต่เมื่อนับรวม ๆ แล้วใกล้เคียงกับการเลือกตั้ง สส.

“อยากให้ความมั่นใจว่าสำนักงานจะทำให้ได้ สว.ตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ ไม่ใช่ทำดีที่สุด แต่จะทำตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบ คิดว่าบริหารจัดการเลือก สว.ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันได้ สว.ครบ 200 คน เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ในส่วนการให้ข้อมูล สามารถขอข้อมูลหลายช่องทางได้จากสำนักงาน กกต.” เลขาธิการ กกต.กล่าว