'ชัยธวัช' ขอทุกฝ่ายมีสติปมญัตติขบวนเสด็จ อย่าผลักใครสุดขั้ว

'ชัยธวัช' ขอทุกฝ่ายมีสติปมญัตติขบวนเสด็จ อย่าผลักใครสุดขั้ว

'ชัยธวัช' อภิปรายญัตติขบวนเสด็จ ชี้มากกว่าปัญหาการบริหารจัดการ แต่มีบริบทการเมืองด้วย ย้ำมีปัญหาอะไรสักอย่าง ทำคนเปลี่ยนจากถือกระดาษสู่สถานการณ์ที่ไม่มีใครปรารถนา ขอทุกฝ่ายมีสติ ใช้กุศโลบายแก้ปัญหา อย่าผลักใครให้สุดขั้วกว่านี้ เพิ่มพื้นที่ตรงกลางให้มากที่สุด

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง “ให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบ แผนและมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเพื่อเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ และรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ” ซึ่งสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับขบวนเสด็จพระราชดำเนินของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา

โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้อภิปรายคนสุดท้ายในญัตติดังกล่าว โดยอภิปรายให้เห็นถึงบริบททางการเมือง และเหตุผลที่ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยทางการเมืองให้ความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ร่วมกันได้ ว่า จากการรับฟังผู้อภิปรายหลายท่านจากหลายพรรคการเมือง ทำให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราก็มีความเห็นร่วมกันอยู่หลายประการ ทั้งเห็นตรงกันว่าการรักษาความปลอดภัยให้กับบุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นประมุขของรัฐ องค์พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ ประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้นำทางการเมือง หรือแม้แต่บุคคลสาธารณะที่สำคัญนั้น เป็นเรื่องสำคัญและเป็นหลักปฏิบัติสากล

ประการต่อมา เราเห็นตรงกันว่าขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าไม่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนเกินสมควร และเราต่างก็เห็นตรงกันว่าไม่อยากจะเห็นเหตุการณ์อย่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์เกิดขึ้นอีก

นายชัยธวัช กล่าวว่า ตนดีใจที่ท่านเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ผู้เสนอญัตติได้เปิดอภิปรายโดยยอมรับว่า ตัวเองก็เกิดความรู้สึกโกรธในห้วงเวลาแรกที่ได้รับทราบเหตุการณ์ แต่หลังจากนั้นก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เพราะนึกถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการประนีประนอม เมื่อสงบสติอารมณ์ได้ ไม่ใช้อารมณ์โกรธ จึงเกิดความคิดที่จะหาวิธีบริหารจัดการ

"ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะบริหารจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ให้บานปลายมากกว่านี้ได้อย่างไร นี่เป็นประเด็นที่เราควรจะถกเถียงอภิปรายกันให้รอบด้าน และตนยืนยันว่าเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับมาตรการถวายความปลอดภัย เราไม่สามารถพิจารณาเฉพาะเรื่องกฎหมาย ระเบียบ หรือแผนในการถวายความปลอดภัยได้อย่างเดียวเท่านั้น" นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งกระทบกับการถวายความปลอดภัยต่อองค์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์อย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2520 เคยเกิดเหตุการณ์ลอบทำร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดยะลา รุนแรงกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหลายเท่า จนเกิดความปั่นป่วนในขบวนเสด็จ และยังมีการลอบวางระเบิดใกล้ที่ประทับของพระองค์

นายชัยธวัช กล่าวว่า การปรับแก้การถวายความปลอดภัยในวันนั้นไม่สามารถพิจารณาเฉพาะกฎหมายและแผนมาตรการในการถวายความปลอดภัยเท่านั้น เพราะสุดท้ายปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์นี้มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนั้น และที่น่าเศร้าใจคือเหตุการณ์ในครั้งนั้นนำไปสู่การที่กลุ่มฝ่ายขวา คือกลุ่มกระทิงแดง พยายามใช้กรณีที่เกิดขึ้นปลุกปั่นกล่าวหาโจมตีว่ารัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียรในขณะนั้นไม่มีความจงรักภักดีเพียงพอ จนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหารอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

นายชัยธวัช กล่าวอีกว่า กรณีที่เรากำลังอภิปรายกันนี้ ต้องยืนยันว่าไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัยอันเกิดจากการก่ออาชญากรรมเพื่อหมายปองร้ายพระบรมวงศานุวงศ์ แต่เป็นปัญหาที่สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองและความคิด เราต้องยอมรับตรงนี้ก่อน จึงจะพิจารณาอย่างรอบด้านได้ว่าจะบริหารจัดการการถวายความปลอดภัยและการแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกี่ยวข้องอย่างไร

“มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่นอน ที่รัฐไทยสามารถทำให้คนคนหนึ่งที่แสดงออกความคิดเห็นทางการเมืองของตัวเองด้วยการถือกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วทำให้เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่คนไทยจำนวนมากไม่คาดคิดว่าจะมีใครกล้า มันต้องมีปัญหาอะไรสักอย่าง เมื่อประชาชนคนหนึ่งเขาอยากจะพูดแต่เราไม่อยากฟัง แล้วก็ไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยิน แล้วเราก็พยายามจะไปปิดปากเขา สุดท้ายเขาก็เลยเลือกตะโกน แล้วมันก็นำมาสู่สถานการณ์ที่เราไม่พึงปรารถนา” นายชัยธวัช กล่าว

นายชัยธวัช กล่าวย้ำว่า สิ่งนี้เป็นบทเรียนที่เราควรจะพิจารณากันหลังจากนี้ โดยเฉพาะฝ่ายบริหาร แต่ในขณะเดียวกัน คนที่กำลังตะโกนอยู่ ก็ควรจะไตร่ตรองว่าวิธีการอะไรที่จะทำให้คนหันมาเปิดใจฟังมากขึ้นด้วย การตะโกนแล้วยิ่งทำให้ไม่มีใครฟังอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเช่นกัน สุดท้ายเราไม่ควรจะจัดการสถานการณ์ด้วยการผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้สุดขั้วไปมากกว่านี้ ถ้าถามว่าวันนี้เราจะเสนออะไรไปยังฝ่ายบริหาร นอกจากข้อเสนอเรื่องการทบทวนกฎหมาย ระเบียบ และแบบแผนต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่ฝ่ายบริหารทำได้คือกุศโลบายทางการเมือง

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าสบายใจอย่างยิ่ง เมื่อวันนี้เราได้ยินสมาชิกจากฝั่งรัฐบาลพูดกันถึงขั้นว่าถ้าไม่พอใจก็ให้ไปอยู่ประเทศอื่น หนักแผ่นดิน นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้ง เพราะเราเคยมีบทเรียนมาแล้วว่าการใช้ความจงรักภักดีมาแบ่งแยกประชาชน สุดท้ายไม่สามารถส่งผลดีกับใครเลย เราเคยผ่านเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มาแล้ว สุดท้ายต่อให้เราใช้กำลังอาวุธร้ายแรงยิงเข้าไปสู่ประชาชนที่เราไม่อยากฟัง ฆ่าเขาตายกลางเมือง ลากเขาไปแขวนคอใต้ต้นมะขาม หรือกล่าวหาผู้คนจำนวนมากว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จนสุดท้ายเขาไม่มีทางเลือกแล้วก็ต้องเข้าไปเป็นคอมมิวนิสต์จริง ๆ ในป่า มันไม่ใช่ทางออกเลย และสุดท้ายเราก็ต้องจบด้วยการแก้ไขปัญหาทางการเมืองด้วยการนิรโทษกรรม เปิดโอกาสให้คนที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์มาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย

“สุดท้ายผมก็หวังว่ารัฐบาลของเรา สมาชิกผู้แทนราษฎรของเราจะมีสติ ระงับความโกรธอย่างที่ท่านเจ้าของญัตติเปิดเอาไว้ตั้งแต่แรก แล้วใช้กุศโลบายทางการเมืองแก้ปัญหา อย่าผลักใครให้สุดขั้วไปมากกว่านี้ แล้วเพิ่มพื้นที่ตรงกลางให้มากที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกันสามารถที่จะหาจุดร่วมกันได้ เพื่อให้ประเทศไทยเราออกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาเกือบสองทศวรรษแล้ว เพื่อที่ประเทศของเราจะได้มีสมาธิเดินหน้าไปเผชิญหน้ากับโลกที่ผันผวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไป” นายชัยธวัช กล่าว