คำต่อคำ 'ผบ.ทบ.' หยุดวาทกรรมแบ่งแยก อย่าสุมไฟสงครามกลางเมือง

คำต่อคำ 'ผบ.ทบ.' หยุดวาทกรรมแบ่งแยก อย่าสุมไฟสงครามกลางเมือง

คำต่อคำ "ผู้บัญชาการทหารบก" ย้ำเตือนสถานการณ์การเมือง ลั่นหยุดวาทกรรมแบ่งแยก อย่าสุมไฟสงครามกลางเมือง

หลังเสร็จสิ้นงานพิธีวันสถาปนา พล.ร.1รอ. ครบรอบ 112 ปี ที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ( พล.1 รอ.) เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (2 เม.ย.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระหว่างแถลงข่าว ได้ควักกระดาษบันทึกข้อความสั้นๆ เดินตรงไปแถลงที่โพเดี้ยม โดยเริ่มเกริ่นด้วย ภารกิจของกองทัพบกและความห่วงใยของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ต่อสถานการณ์ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ จึงได้เข้าสู่เรื่องสถานการณ์การเมือง

 

พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า ประเทศเพื่อนบ้านมีความเข้าใจสถานการณ์ในประเทศโดยเฉพาะเรื่องการเมือง และให้ความร่วมมือในทุกด้านมาอย่างดีโดยตลอด ซึ่งเดิมตั้งใจเขียนเป็นข้อความ แต่ก็ได้นั่งคิดมาสองคืนแล้ว แต่เมื่อคืนวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้ออกเป็นสารถึงประชาชน เพราะฉะนั้นตนจึงตัดสินใจไม่ทำเป็นสาร และจะสรุปเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น ให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าใจ ทั้งนี้เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาตนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างชาติว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ท่านจะต้องเดินตามไปตามวิถีทางของท่านทางการเมือง และกองทัพบกจะต้องกลับไปอยู่ในส่วนของกองทัพบก หรือมาเป็นทหารอาชีพ จึงอยากให้ประชาชน และนิสิต นักศึกษาเข้าใจว่า ปัจจุบันกองทัพบกเปลี่ยนแปลงไปมาก จะเห็นได้ว่ามีความสง่างามในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกำลังพล เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้บัญชาการ แม่ทัพภาค และผบ.หน่วยทั้งหลาย เป็นต้นแบบให้ทหารในกองทัพบก ในนามของหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 ทั้งเรื่องระเบียบวินัย ลักษณะทหารที่ดี การสร้างระเบียบวินัย และการนำสิ่งต่างๆ เหล่านี้เข้าไปขยายในครอบครัวทหาร

พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวอีกว่า อยากบอกถึงประชาชน นิสิตนักศึกษาว่า เราอาจจะมีช่องว่างในการสื่อสารซึ่งกันและกัน รัฐบาลและกองทัพอาจจะทำงานและสื่อสารคนละภาษากับที่ท่านอยากจะฟัง แต่กองทัพบกจะพยายามสื่อสารมากขึ้น ทั้งนี้กองทัพเป็นหน่วยงานของรัฐบาล แต่ตนไม่ได้ทำงานการเมือง แต่ทำงานในการพิทักษ์รักษาปกป้องสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือ พระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงเน้นย้ำอยู่เสมอว่า ทหารจะต้องอยู่เคียงข้างประชาชนอย่างแท้จริง และตนก็ให้คำมั่นกับประชาชนว่าทหารยุคนี้จะอยู่เคียงกับประชาชนอย่างแท้จริง และวางตัวอยู่ในบทบาทของทหารด้วยการปกป้องประเทศ และอธิปไตย รวมถึงช่วยเหลือปกป้องประชาชนทุกโอกาส ทุกเมื่อ และต้องทำอย่างจริงจัง ใครเป็นผู้บังคับหน่วยแต่ไม่ดำเนินการอย่างจริงจัง ไม่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา ในระหว่างที่ตนอยู่ ขอบอกได้เลยว่า ไม่มีใครอยู่ในตำแหน่งนั้นได้

ที่สำคัญที่สุด ผมได้พูดเสมอ ระหว่างให้โอวาทกับผู้บังคับหน่วยว่า ตำแหน่งหรือผู้นำของหน่วยทหาร ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ร้อย ผบ.พล ผบ.พล. หรือ แม้กระทั่งตัวผู้บัญชาการทหารบกเองไม่ได้เป็นข้อยกเว้น หรือข้ออ้างว่าจะทำงานน้อยกว่าคนอื่น แต่ต้องทำงานมากกว่าคนอื่น เพราะฉะนั้น ขอให้มั่นใจว่าทหารยุคนี้จะดูแลปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี

"เรื่องต่างๆ ของการเมืองที่เกิดขึ้น มีการบิดเบือนหลายประการ นานๆ ทีผมจะพูดที วันนี้ขอพูดแล้วผมจะไม่พูดอีกจนกว่าจะหลังพระราชพิธี ห้วงนี้ยังเป็นห้วงของการซักซ้อมพระราชพิธีอันสำคัญ อยากขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าว รวมถึงประชาชน นิสิต นักศึกษา ให้ความร่วมมือประกอบงานพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่ ในชีวิตของเรามีบุญที่เราได้มีโอกาสเข้ามาได้เห็น ได้อยู่ร่วมในพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งต่างประเทศติดต่ออยากจะเข้ามาชม” ผบ.ทบ.กล่าว

พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวว่า เรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กองทัพยอมรับว่ากองทัพมีจุดอ่อนในเรื่องของการใช้โซเชียลมีเดียในขณะที่สื่อบางชนิดหรือบางแบบ สามารถที่จะเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของเจเนอเรชั่นอีกเจเนอเรชั่นหนึ่ง หรือคนยุคใหม่ซึ่งในการรับรู้ก็เพียงแต่จะให้คนรับรู้ในส่วนเช่นเดียวกับข่าวที่ตนพูดออกไปยาวๆ แต่ไปตัดให้คนรู้เพียงสั้นๆ และปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อโซเชียลนั้นทรงอานุภาพยิ่งกว่าอาวุธที่กองทัพมีอยู่ การไม่ยอมรับกติกาในปัจจุบันนั้น เรามีกติกากันอยู่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำหน้าที่ ถ้าจะพูดกันให้เข้าใจก็เหมือนการแข่งขันฟุตบอล ประเทศแบบฟุตบอลแพ้แต่คนเชียร์ไม่แพ้ มันไม่ใช่

“ถ้าประเทศไทยไม่ยอมรับกติกาที่มีอยู่ แบ่งแยกระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมา ผมถามว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือเป็นเผด็จการ ผมถามว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ วาทกรรมนี้ถูกแบ่งมาเพื่ออะไรเพื่อแบ่งแยกประชาชนที่ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตามที่ได้คะแนนเสียง 8 ล้าน 7 ล้าน 4 ล้าน 5 ล้านมารวมกัน เป็น 20 หรือ 30 ล้านเสียง นั่นหมายความว่า ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหรืออย่างไร ในวันนี้ยังคิดถึงกันแบ่งฝ่ายแบ่งแยกกันอยู่ ทำไมไม่เคารพกติกาแล้วก็ไปสู้กันในรัฐสภา ชีวิตผมผ่านเห็นทั้งการปฏิวัติรัฐประหาร การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้กระทั่งสัตยาบันที่ทำการตั้งแต่สมัย 2534 มีนักการเมืองหลายท่านลงสัตยาบันกัน ทั้งท่านมนตรี พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ลงสัตยาบันจะตั้งพรรคการเมืองกันและจะตั้งรัฐมนตรีกันท้ายที่สุดแล้วก็ฉีกสัตยาบันทิ้ง นี่คือวาทการเมือง เกมของการเมือง เป็นกิจกรรมเป็นของทางการเมือง ซึ่งถูกชี้นำ แนะนำโดยนักการเมืองแบบเดิมๆหรือพวกสายตกขอบ” พล.อ.อภิรัตน์ กล่าวและว่า

ตนถามว่านักเรียน นิสิต นักศึกษา ท่านออกมาใช้เสียงครั้งแรก ตนและทหารชื่นชมที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงกัน แต่เมื่อใช้สิทธิ์แล้วท่านจะเลือกใครเลือกไปแล้ว ทำไมนักการเมืองไม่มาจับมือกันแล้วไปต่อสู้กันในรัฐสภา ต่างคนต่างทำหน้าที่เพื่อให้ประเทศชาติเดินก้าวหน้าต่อไปข้างหน้า หากใครก็ตามที่เป็นรัฐบาล ทำไม่ดี ฝ่ายค้านทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน ทำไมจะต้องมานั่งเถียงกันแบ่งแยกกันแบ่งข้างกัน ทำให้ชาวโลกหรือประเทศต่างๆ นั่งขำประเทศไทย สื่อมวลชนเองมาจากหลายสำนักหลายสาย มาจากหลายแนวความคิด ตนอยากถามว่าเราอยู่ในแผ่นดินไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวฯด้วยกันทั้งสิ้น กองทัพบกเป็นเพียงแต่องค์กรหนึ่งไม่สามารถที่จะไปขับเคลื่อนประเทศทั้งประเทศได้

หรือไปทำอะไรให้พวกท่านรักประเทศได้ แต่อยากถามว่าเราเป็นคนไทยด้วยกันหรือไม่ ตนยืนยันว่าการเราเป็นคนไทย ประชาชนคนไทยด้วยกัน กองทัพบกยืนเคียงข้างอยู่กับพวกท่าน กองทัพบกคือประชาชนคนหนึ่ง คือลูกหลานของพ่อแม่คนหนึ่ง ขอให้รักสามัคคีกัน ตนเห็นหลายต่อหลายท่านออกมาแสดงความคิดเห็น ในเฟซบุ๊กและไอจี ซึ่งตนดูของคนอื่น เพราะส่วนตัวไม่มี ผมไม่มีต้องบอกว่าแม้แต่ตัวผู้นำของกองทัพเองยังรับว่าโซเชียลคืออาวุธที่มีอาวุธทรงประสิทธิภาพมากกว่อาวุธใดๆทั้งสิ้นที่กองทัพมีอยู่

พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวอีกว่า ขอร้องให้สื่อมวลชนนั้นได้สื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้นำสู่ประชาชน นิสิต นักศึกษา ส่วนใหญ่เรียนประเทศไทย จบที่ประเทศไทยรับพระราชทานปริญาบัตรกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมศานุวงศ์ เราเติบโตกันที่นี่ หลายคนเป็นนักธุรกิจ พอเติบโตกันขึ้นมา มีเงินมีทองขึ้นมาก็เพราะแผ่นดินไทยหรือไม่ ตนชื่นชมเศรษฐีมีเงิน มีอำนาจมีบารมี หลายคนที่ได้ผิดพลาดกระทำความผิดทุจริต คอรัปชั่นหรือโกงอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาเหล่านั้นยอมรับกติกาของประเทศยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่มันเกิดขึ้น ยอมรับว่าศาลของประเทศไทยได้ถูกตัดสินแล้วว่าเขาจะต้องถูกจำคุก

หลายท่านต้องถูกเข้าจำคุกทั้งๆ ที่มีเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ท่านยอมรับกระบวนการยุติธรรม ตนต้องขอยกย่อง และหลายท่านก็ออกมาแล้ว มาใช้อย่างเสรีภาพกลับมาอยู่กับครอบครัว นี่คือคนมีน้ำใจนักกีฬา คนที่ยอมรับก็กระบวนการตัดสิน หลายท่านมีเงินพร้อมที่จะหนีออกนอกประเทศ แต่ท่านยอมรับกระบวนการในการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมไทย มิใช่ทำอะไรผิดแล้วก็บอกว่าตัดสินแบบนี้ยอมรับไม่ได้ ไม่เคยยอมรับกระบวนการแล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อศาลสูง ศาลฎีกาเป็นผู้ทรงอำนาจด้านการยุติธรรมสูงสุดของประเทศ

“ขอร้อง นิสิต นักศึกษา ครูอาจารย์ ข้าราชการหลายท่านไปร่ำไปเรียนศึกษาต่างประเทศกันมา ไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม ท่านไปเรียนบางท่านได้ทุนของราชการไป หรือได้ทุนของในวังไป ไปร่ำไปเรียนมา แต่สิ่งที่ท่านไปร่ำไปเรียนมา ผมขอเน้นอย่างว่า ท่านไปเรียนระบอบประชาธิปไตยของประเทศอะไรมา ผมไม่ได้ว่าแต่ระบอบประชาธิปไตยในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยของตัวเอง ท่านลองถามตัวเองว่า เมื่อท่านไปอยู่ประเทศอื่น ไปศึกษาไปเรียนหรือไปเที่ยวประเทศอื่นทำไมท่านจะต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศอื่น ตามระบอบประชาธิปไตยของประเทศนั้นในโลกแห่งประชาธิปไตย ที่คำว่า democracy ทุกประเทศส่วนใหญ่ คำว่า dictatorship หรือ เผด็จการ ผมถามมาทุกวันตั้งแต่ คสช. เข้ามาดำเนินการสิ่งนี้ที่หรือที่เรียกว่า dictatorship ถ้าเผด็จการจริง ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อกับประเทศที่เผด็จการจริง และเผด็จการจริงในรูปแบบของประชาธิปไตย เราอยู่กันแบบไทยๆ นี่คือวัฒนธรรมของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ขอให้รักกันจะไปร่ำไปเรียนที่ไหนมา ไปเอาตำราประเทศไหน ไม่อยากจะเอ่ยชื่อเอาของเขามาแล้วมาดูด้วย ว่าควรจะมาดัดแปลง แต่ไม่ใช่พยายามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข อย่าไปเอาความซ้ายจัดที่ไปเรียนมา แล้วมาดัดจริต ประเทศอื่นเขาไม่มีที่จะมีแบบนี้ นี่คือเมืองสยาม เมืองแห่งรอยยิ้ม เมืองที่เรามีระบอบประชาธิปไตยของเราแบบนี้” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวและว่า

แต่สิ่งที่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ต้องการคือมีคนไทยรักกัน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ท่านคือคนไทย กรีดเลือดมาก็เป็นคนไทย เลือดบรรพบุรุษของท่านที่ได้กรีดมาก็เป็นเลือดบรรพบุรุษที่ปกป้องผืนแผ่นดินไทย วันนี้ตนพูดเยอะพูดแรงก็ขอให้ฝากไปด้วยไว้ให้หยุดวาทกรรมที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบันเสียที ปล่อยให้ไปตามครรลอง ใครไม่ดีต้องพิสูจน์กันด้วยงาน ด้วยฝีมือ ถ้าตนทำไม่ดี ก็ต้องถูกย้าย ฉะนั้นทุกคนขอให้โอกาสกัน เกมใครเก็บมันไว้ เมื่อกรรมการตัดสินแล้วก็มาโทษกรรมการ มวยชกกันไอ้นี่แพ้ก็มาโทษกรรมการ ถ้าเป็นแบบนี้ไม่มีวันจบ วัฏจักรแห่งการล้างแค้น แห่งการไม่พึงพอใจกันไม่มีวันจบทำอย่างไรถึงจะให้จบ ตนบอกไปแล้ว

พล.อ.อภิรัชต์ ยังตอบคำถามกรณีหากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้นั้น ว่ายืนยันไปแล้วเรายอมรับกติกาทุกอย่าง กองทัพไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้กองทัพเป็นกองทัพของประชาชนตนอยากจะให้ลงมาดูว่าวันนี้กองทัพมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนอยากให้พี่น้องประชาชนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และไม่ต้องถามแล้วว่ากองทัพจะไปยังไง จะมีปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่ มันเป็นเพียงวาทกรรมเดิมๆ ที่เอามาถามแล้วถามอีกแล้ว ก็เอาคำนี้ไปทำให้เด็กที่ยังไม่รับรู้อะไรมากมายรู้สึกไม่ดีต่อกองทัพไม่ดี ถามว่าทุกวันนี้ใครไปช่วยเหลือประชาชนชาชนที่เดือดร้อนใครใครเป็นเป็นนำกำลังยุทโธปกรณ์ทั้งหมดช่วยเหลือ

“ต่างชาติมีแต่ชื่นชม แต่ที่เขาขำก็ขำ แม่งตีกันเอง ทะเลาะกันเองเออดีเว้ย เศรษฐกิจจะได้พังไง แล้วใครได้ดีคนอยู่ต่างประเทศมีความสุขสบายอยากจะไปไหนก็ไป อยากจะทำอะไรก็ทำ วันนี้ผมจะพูดกับสื่อต่างชาติ เชิญสื่อต่างชาติมา ทุกวันนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นในประเทศไทยมีคนประเภทแบบนี้อยู่ในประเทศคุณบ้าง แล้วทำแบบนี้ต่างชาติจะรู้สึกอย่างไร อยากฟังคำตอบไม่ว่าจะเป็นคำตอบ แต่สื่อที่ยืนอยู่ตรงนี้คนไทยด้วยกัน ผมถามว่าคนรวยมีอำนาจไม่ต้องติดคุกหรืออย่างไร ไม่ยอมรับกติกาหรืออย่างอะไร แล้วคนที่เขามีเงิน มีอำนาจแล้วที่ติดคุกทำไมไม่ดูตัวอย่างไม่สงสารเขาบ้าง ทำไมเขายอมรับ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานสถาปนาวันนี้ มีอดีตผบ.พล.1รอ.มาร่วมงานด้วย รวมถึง 3 องคมนตรี ที่เป็น อดีตผบ.พล.1 รอ. ได้แก่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา, พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ , พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ นอกจากนั้นยังมีพล.อ.สมทัต อัตตะนันท์ พล.อ.ไพศาล กตัญญู รวมถึง พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรง ผบ.พล.1รอ. ช่วงที่ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 ด้วย