PTTEP - ซื้อ

PTTEP - ซื้อ

การเข้าซื้อกิจการ E&P ครั้งยิ่งใหญ่ในมาเลเซีย!

การเข้าซื้อกิจการครั้งยิ่งใหญ่ในมาเลเซียของ PTTEP เมื่อวานนี้เป็นความประหลาดใจเชิงบวก การซื้อโครงการดังกล่าวจะหนุนทั้งแนวโน้มกำไรและอายุปริมาณสำรองปิโตรเลียม การเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งและอายุปริมาณสำรองปิโตเลียมเพิ่มขึ้นน่าจะหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวสูงขึ้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

การเข้าซื้อสินทรัพย์ E&P ในมาเลเซีย

วานนี้ PTTEP ลงนามสัญญาเพื่อเข้าซื้อกิจการของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น (เมอร์ฟี่) ในประเทศมาเลเซียซึ่งมีมูลค่ารวม 2,127 ล้านเหรียญสหรัฐ (อาจมีการรับรู้มูลค่าการซื้อเพิ่มเติมในจำนวนไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ขึ้นกับผลการเจาะสำรวจ) โดยราคาการเข้าซื้อกิจการนี้คิดเป็น EV/2P ที่ 7.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ใกล้เคียงกับมูลค่าการซื้อขายโครงการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงที่ผ่านมา แต่ต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของ PTTEP ถึง 40% การซื้อกิจการครั้งนี้คาดว่าจะเสร็จสิ้นในเดือนมิ.ย. ปี 2562 (ภายใต้เงื่อนไขและการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) ทั้งนี้ PTTEP จะซื้อกิจการด้วยเงินสด (เราไม่เห็นปัญหาใดๆ เนื่องจากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นที่ 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ สิ้นปี 2561)

มูลค่าเพิ่มขึ้นมหาศาล

เมอร์ฟี่ เป็นเจ้าของสินทรัพย์ 5 โครงการในมาเลเซีย (รูปที่ 2) โดยเป็นโครงการผลิต 2 โครงการ, โครงการที่กำลังพัฒนา 1 โครงการ และอีก 2 โครงการคือโครงการสำรวจขุดเจาะ โดยมีปริมาณปิโตรเลียมสำรอง (2P)รวม 274 ล้านบาร์เรล (คิดเป็นน้ามัน 37% และก๊าซ 63%) ปริมาณขายรวมสุทธิจากโครงการผลิต 2 โครงการอยู่ที่ 48,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2561 (คิดเป็นน้ำมัน 62% และก๊าซ 38%) โครงการที่กำลังพัฒนาคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปลายปี 2563 ด้วยการประมาณการปริมาณขายสุทธิอยู่ที่ 130MM cfd (คิดเป็น 22,000 บาร์เรลต่อวัน)

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวนี้ เนื่องจากสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ PTTEP ที่มุ่งเน้นโครงการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก ทั้งนี้สินทรัพย์ของเมอร์ฟี่ที่มาเลเซียเป็นสินทรัพย์คุณภาพดี (น้ำมันดิบของบริษัทขายได้สูงกว่าราคาน้ามันดิบเบรนท์; ราคาขายก๊าซอ้างอิงกับราคาส่งออก LNG ของมาเลเซีย) และจะรับรู้กำไรได้ทันทีและเพิ่มอายุปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้ PTTEP อีกทั้งหนุนแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของบริษัท เราคาดการณ์เบื้องต้น (โดยใช้สมมติฐานอายุแหล่งผลิตที่ 5 ปี ตามคำแนะนำของ PTTEP) ซึ่งกิจการใหม่นั้นจะเพิ่มปริมาณขาย 18% (โดยเฉลี่ย), เพิ่มกำไรปี 2562 12% และเพิ่มประมาณการกำไรในระยะยาว 26% (โดยเฉลี่ย) และเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2562 ประมาณ 15 บาทต่อหุ้น

มีอัพไซด์ต่อแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว

เมื่อดีลดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว นอกจากการรับรู้กำไรเข้ามาทันทีแล้ว อายุปริมาณสำรองปิโตรเลียมของ PTTEP จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เราประมาณการว่าสินทรัพย์ดังกล่าวจะขยายอายุปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วมาอยู่ที่ 6.4 ปี จาก 5 ปี ณ สิ้นปี 2561 อีกทั้งยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรในระยะยาวของเรา จากการขยายศักยภาพของการผลิตของโครงการที่มีอยู่และ/หรือการค้นพบและพัฒนาโครงการใหม่ที่มีศักยภาพ นอกจากนี้จากการวิเคราะห์สถานการณ์บ่งชี้ว่าทุกหนึ่งปีที่การผลิตยาวนานขึ้นจะเพิ่มราคาเป้าหมายของเรา 3 บาท