กลุ่มผู้ถือหุ้นเอิร์ธ จี้ดีเอสไอสอบทุจริต

พ.ท.นพ.จรูญศักดิ์ เธียรประพันธ์ และนายอนุสรณ์ ศิวะกุล พร้อมด้วยผู้เสียหาย 20 ราย จากการลงทุนหุ้นกู้ บมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด หรือ เอิร์ธ(EARTH) ที่ปลอมแปลงใบตราส่งสินค้าทางเรือ (Bill of lading-B/L) นำเข้าถ่านหินจากประเทศอินโดนีเซีย แล้วนำมาใช้เป็นหลักฐานในการกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำให้ผู้ถือหุ้นกู้ได้รับความเสียหาย ยื่นหนังสือต่อพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ขอให้เร่งรัดดำเนินคดีกับผู้บริหารบริษัท เอิร์ธ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีไอสไอ เป็นผู้รับหนังสือ

พ.ท.นพ.จรูญศักดิ์ กล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยได้ตรวจสอบความผิดปกติเรื่องดังกล่าวเมื่อปี 2554 และปล่อยให้เรื้อรังมาจนถึงปี 2558 โดยตรวจพบความผิดปกติ 2 รอบทั้งกรณีหุ้นกู้รวมเป็นความเสียหาย 9,500 ล้านบาท และหุ้นบีอีอีก 8,000 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นได้รับผลกระทบ 2,800 คน ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้นำเงินมาลงทุนเพราะเชื่อว่ากรุงไทยเป็นหน่วยงานรัฐ มีความน่าเชื่อถือ เชื่อว่าเงินที่ลงทุนไปจะได้รับความคุ้มครอง แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวตนและผู้เสียหายพยายามทวงถามเรื่องดังกล่าวกับทางธนาคารกรุงไทย ทุกครั้งจะได้คำตอบว่าอยู่ระหว่างดำเนินการทั้งๆ ที่ควรเร่งตรวจสอบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะความเสียหายเกิดขึ้นแล้วและไม่มีคำตอบว่าจะเยียวยาให้ผู้เสียหายอย่างไร

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้ากลุ่มผู้เสียหายได้ไปยื่นคำร้องพร้อมทวงถามความคืบหน้าการส่งผลการตรวจสอบภายในให้ดีเอสไอพิจารณา เนื่องจากปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมาประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงขบวนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารให้แก่บริษัทฯ ว่ามีการตรวจพบบุคลากร การกระทำผิดทุกระดับหลายขั้นตอน พร้อมทั้งแจ้งว่าธนาคารกรุงไทยจะรายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และดีเอสไอ แต่จนถึงวันนี้ธนาคารกรุงไทยยังไม่สรุปผลส่งให้ดีเอสไอ ทั้งที่ผ่านการฟื้นฟูกิจการมาแล้วถึง 2 ปี ซึ่งผู้บริหารธนาคารกรุงไทยแจ้งว่าจะเร่งส่งผลสรุปให้ดีเอสไอภายในสิ้นปีนี้ กลุ่มผู้เสียหายจึงรวมตัวกันยื่นคำร้องขอให้ดีเอสไอเร่งรัดสรุปสำนวนคดี รวมทั้งขอให้เร่งติดตามผลการตรวจสอบภายในของธนาคารกรุงไทย เพื่อนำมาประกอบการดำเนินคดีให้รวดเร็วสามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ตามกฎหมาย

“การลงทุนผู้ถือหุ้นกู้ฯ ได้พิจารณาแล้วว่าบริษัทที่ออกหุ้นกู้ฯ อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การออกหุ้นกู้ก็อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) โดยมีธนาคารของรัฐเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักและชักชวนให้ลงทุน ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้ฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่เกษียณอายุนำเงินเก็บออมเกือบทั้งชีวิตมาลงทุน หวังได้ดอกเบี้ยไว้กินและใช้เป็นค่ารักษาพยาบาล แต่ต้องประสบปัญหาที่คาดไม่ถึง และไม่มีรายได้ประจำอื่น นอกจากไม่ได้รับดอกเบี้ยแล้วยังสูญเสียเงินต้นที่ยังไม่รู้ว่าจะได้คืนเมื่อไหร่” นายอนุสรณ์ กล่าว

ด้านพ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า คดีนี้ดีเอสไอรับไว้เป็นคดีพิเศษและการสอบสวนมีความคืบหน้าไปมาก การสอบสวนพยานหลักฐานในประเทศครบถ้วนหมดแล้ว เหลือเพียงหลักฐานข้อมูลทางการเงินบางส่วนที่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งจะประสานในช่องทางตามสนธิสัญญาความร่วมมือทางอาญา (Mutual Legal Assistance Treaty-MLAT) เพื่อขอข้อมูล ส่วนที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพิ่มเติมในวันนี้จะส่งให้พนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนพิจารณา โดยจากการตรวจสอบเบื้องต้นผู้เสียหายต้องการให้ดีเอสไอตรวจสอบการทุจริตของพนักงานธนาคารกรุงไทยเพิ่มเติมด้วย

ขณะที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า ดีเอสไอรับเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าวไว้หลายเรื่อง โดยสำนวนคดีอยู่ในความรับผิดชอบของกองคดีการเงิน ทั้งคดีการปลอมใบตราส่งสินค้าถ่านหินที่ธนาคารกรุงไทยเป็นผู้เสียหาย รวมถึงคดีที่กลต.เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ

รายงานข่าวจากดีเอสไอแจ้งว่า กรณีนี้มีเรื่องร้องเรียน 2 พฤติกรรมใหญ่ คือ คดีปลอมใบขนสินค้าถ่ายหิน มูลค่า 1,800 ล้านบาท และคดีสร้างเจ้าหนี้เทียม ซึ่งการสอบสวนได้แตกย่อยเป็นหลายฐานความผิด โดยคดีที่ธนาคารกรุงไทยร้องทุกข์กล่าวโทษมีความเสียหาย 1,800 ล้านบาท ตามจำนวนการตรวจสอบพบใบขนสินค้าที่มีการปลอมแปลงแล้วนำมายื่นกู้ ในส่วนความเสียหายอื่นๆ ยังไม่มีการกล่าวโทษ