SEAFCO - ซื้อ

SEAFCO - ซื้อ

Bright outlook ahead

คาดบริษัทจะรายงานกำไรแข็งแกร่งต่อเนื่องตลอดทั้งปีจาก 1) การรับรู้รายได้แบบ S-curve จาก Backlog ที่มีอยู่ราว 4 พันล้านบาท 2) มาริจิ้นที่คาดจะสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะงานโครงการขนาดใหญ่ ส่งผลให้เครื่องจักรสามารถเดินได้อย่างต่อเนื่อง และสำหรับปัจจัยหนุนการเติบโตในอนาคตจะมาจาก ศักยภาพในการหางานที่เหนือกว่า ส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ปัจจุบันมีงานอยู่ระหว่างรอผลประมูลอีกราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะหนุนให้บริษัทมี Backlog ที่สูงอย่างต่อเนื่อง

Utilization rate สูง หนุนกาไร 2Q18

คาดกำไร 2Q18 ที่ 62 ล้านบาท เติบโต 63%YoY และ 18%QoQ ได้ปัจจัยหนุนจาก Utilization rate ที่เพิ่มขึ้นเป็น 80% หลังจากเริ่มเดินเครื่อง 2 โครงการใหญ่อย่างเต็มที่ คือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม และ โครงการ One Bangkok คาดรายได้จะเพิ่มเป็น 600 ล้านบาท เติบโต 77%YoY และ 34%QoQ ตามการรับรู้รายได้แบบ S-curve และคาดอัตรากำไรขั้นต้นยืนสูงในระดับ 20%

คาดมาร์จิ้นสูงตลอดทั้งปี

อัตรากำไรขั้นต้น คาดจะสูงอย่างต่อเนื่องใน 2H18 เพราะมีการรับรู้รายได้หลายงาน คาดบริษัทจะได้ประโยชน์จาก economy of scale อย่างเต็มที่และถึงแม้งาน One Bangkok จะเป็นงานรวมวัสดุ (มาร์จิ้นไม่สูง) แต่เพราะเป็นงานขนาดใหญ่ คาดมาร์จิ้นจะยังดีอยู่ได้ เพราะบริษัทจะสามารถเดินเครื่องได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเคลื่อนย้ายเครื่องจักร และ Sensitivity analysis ทุกๆ 1% ที่มาร์จิ้นดีกว่าคาด กำไรจะเพิ่มขึ้นราว 10%

ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ... คาดได้งานเพิ่มต่อเนื่อง

บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ราว 48% ของมูลค่างานที่บริษัทเข้าประมูลและมีการประกาศผู้ที่ได้รับงานแล้ว (จากการสำรวจในช่วง 1 ม.ค.2017- 15 พ.ค. 2018) ส่งผลให้บริษัทมี Backlog ในปัจจุบันราว 4 พันล้านบาท (ยังไม่หักการรับรู้รายได้ใน 2Q18) และยังมีงานอีกราว 1 หมื่นล้านบาท ที่บริษัทยื่นราคาไปแล้ว และอยู่ระหว่างการรอผล หากบริษัทได้งานเพียง 30% (ราว 3 พันล้านบาท) จะหนุนให้บริษัทมี Backlog ปลายปีสูงเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ราว 5 พันล้านบาท

แม้งานภาครัฐจะล่าช้า แต่งานเอกชนยังมีอีกมาก

จากการประชุมกับผู้บริหารของบริษัทรับเหมาฯขนาดใหญ่ ให้มุมมองว่าการรถไฟฯ น่าจะขาย TOR เพื่อการประมูลรถไฟทางคู่ 7 เส้นทาง แบ่งเป็น 30 สัญญา มูลค่าราว 2.6 แสนล้านบาท ได้ในช่วง 3Q18 และคาดจะสามารถประมูลได้ใน 4Q18 สำหรับรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ยังคงไม่ชัดเจนว่าจะประมูลในรูปแบบไหน หากเป็นรูปแบบการประมูลเฉพาะงานก่อสร้าง ซึ่งจะเป็นรูปแบบที่เร็วที่สุด น่าจะประมูลได้ในไม่ช้า แต่หากเปลี่ยนเป็นแบบสัมปทาน PPP น่าจะเห็นการล่าช้าออกไปปีหน้า อย่างไรก็ดีงานภาคเอกชนหลายงานได้เริ่มมีการพูดคุยกับเจ้าของโครงการแล้ว เช่น Bangkok Mall หรือ Super Tower เป็นต้น ซึ่งเรามองว่างานเอกชนขนาดใหญ่เหล่านี้ จะช่วยให้จำกัด downside risk ในขณะที่งานภาครัฐฯยังไม่แน่นอน