เคลื่อนไหวในกรอบ

เคลื่อนไหวในกรอบ

SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค มาผันผวนแดนบวก จากการผ่อนคลายความกังวลสงครามการค้า

SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค มาผันผวนแดนบวก จากการผ่อนคลายความกังวลสงครามการค้า แต่มีแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบทำให้กลุ่ม ENERG ปิดลบมากสุด ตามมาด้วยกลุ่ม FIN หลังจากมีแรง Sell on fact ของ AEONTS และ KTC ขณะที่กลุ่ม BANK FOOD HELTH บวกมาชดเชย ทำให้ SET Index ปิดที่ 1,643.52 จุด (+2.59 จุด) Volume 3.76 หมื่นลบ. มาจาก Foreign Net -357.04 ลบ. TFEX Net   -6,917 สัญญา ตราสารหนี้ -721.80 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย  

+ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้นหลังฤดูรายงานผลประกอบการได้เริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว ซึ่งธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาส

+น้ำมันดิบดีดตัวขึ้น จากคำสั่งซื้อเก็งกำไรแม้ว่าจะมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่ลิเบียกลับมาส่งออกน้ำมัน และอิหร่านจะยังคงสามารถส่งออกน้ำมัน แม้เผชิญกับการคว่ำบาตรจากสหรัฐก็ตาม

-ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 97.1 เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวลง 0.4% ในเดือนมิ.ย.

-สนง.ศุลกากรจีนเผยเกินดุลการค้าลดลงช่วง 6 เดือนแรก หลังส่งออกโตน้อยกว่านำเข้า

-พาณิชย์คาดส่งออกไทยอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมสงครามการค้าในช่วง 4Q61

-กรมบัญชีกลาง ยอมรับผลเบิกจ่ายงบประมาณปี 2561 ต.ค.-มิ.ย. 2561 ต่ำกว่าเป้าหมาย งบลงทุนแย่สุดต่ำกว่าเป้า 18.27%

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD ขาย 1.96 แสนล้านบาท ค่าเงินบาท 33.30 บาท/US

**พรุ่งนี้กกบ.ประชุมเรื่อง IFRS9 หากเลื่อนบังคับใช้จะเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร

ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีปัจจัยสนับสนุนจากตลาดต่างประเทศและราคาน้ำมัน โดยมีปัจจัยกดดันจากความกังวลสงครามการค้า และ Fund Flow ยังคงไหลออก คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,633-1,651 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   เก็งกำไรกลุ่มที่มีปัจจัยสนับสนุน

- KKP ปันผลสูงและเก็งการประการผลประกอบการ

- BANPU ราคาถ่านหินปรับตัวขึ้น 17 วันทำการสู่ 118$/Ton +9%

- CPALL ROBINS HMPRO BEM ครม.คง VAT ที่ 7% อีก 1 ปี

- หุ้น Beta <0.5 Dividend > 5% DIF DRT MC LH GLOW

- หุ้น Beta <1.0 Dividend > 3.8% TCAP SCB KTB SAT

- KCE CPF GFPT กลุ่มส่งออก ค่าเงินบาทอ่อนค่าสู่ 33.30 บาท/US

- ดัชนี BDI ปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 3 วัน +8% มาที่ 1,666 จุด (ผลบวกต่อ PSL)

หุ้นแนะนำพิเศษ

 IVL (ราคาปิด 57.00 Bloomberg Consensus 70.94)

  • เข้าซื้อกิจการไปแล้วทั้งสิ้น 3 บริษัทใน ยุโรป บราซิล และอิสราเอลเพื่อขยายการลงทุน High Value Added Product (HVA) ซึ่งจะช่วยหนุนให้อัตรากำไรของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
  • Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 61 อยู่ที่ราว 2.18 หมื่นล้านบาท +5%YoY โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าซื้อกิจการที่ผลิตสินคา HVA และได้รับผลบวกจากส่วนต่าง ASIA PTA และ West PTA +25%YTD และ +1%YTD ตามลำดับ และส่วนต่าง ASIA PET และ West PET +126%YTD และ +47%YTD ตามลำดับ อีกทั้งได้รับผลบวกจากการปรับลดภาษีของสหรัฐจาก 35% เหลือ 21% ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 500-1,000 ล้านบาทต่อปี

ส่องหุ้น

  • KOOL    แนวรับ 69 , 1.64 บาท       แนวต้าน 1.80 , 1.91 บาท
  • PSL       แนวรับ 50-12.40  บาท      แนวต้าน 12.80-13.10 บาท
  • KKP       แนวรับ 50-71.25 บาท       แนวต้าน 72.50 , 73.75 บาท

 

หุ้นมีข่าว   

·    +BCP จะขายหุ้นแหล่ง Galoc ในฟิลิปปินส์ของ Nido มูลค่าราว 660 ลบ.

·    ประเด็นบวกลุ่มรับเหมา รมว.คมนาคม ผลักดันลงทุน 4 ปีข้างหน้าอีกราว 1 ล้านลบ.หลังเดินหน้า 21 โครงการกว่า 1.09 ล้านลบ.

·    +BEM จ่อทำนิวไฮ! โบรกฯ ฟันธงไตรมาส 2/61 กำไรสุทธิเกิน 1,000 ล้านบาท โต 43% หลังบุ๊กกำไรขายหุ้น “ไซยะบุรี” พร้อมได้แรงหนุนผู้โดยสารรถไฟฟ้าโตต่อเนื่อง และบันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก CKP-TTW เพิ่มขึ้น (ที่มา ข่าวหุ้น)

·    CHAYO (ราคาปิด 4.1 ซื้อเมื่ออ่อนตัว ราคาเหมาะสม 4) เร่งเครื่องลุยธุรกิจปล่อยสินเชื่อเต็มสูบ คาดปี 2561 นี้ ยอดปล่อยสินเชื่อทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันทะลุ 100 ล้านบาท คาดเริ่มไตรมาส 4/2561 นี้เป็นต้นไป แย้มอยู่ระหว่างเจรจาซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินอีก 7 ราย มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เล็งออกหุ้นกู้นำเงินมาลงทุนซื้อหนี้เพิ่มเติมปลายปี(ที่มา : ทันหุ้น)

·    ความเห็น : ปัจจุบันบริษัทได้ซื้อมูลหนี้มามูลหนี้มาแล้วมูลค่ารวม 8.6 พันลบ. คาดบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าที่ 1 หมื่นลบ. เนื่องจากบริษัทมีความพร้อมทางด้านเงินทุนหลังจาก IPO ประกอบกับมี D/E Ratio ที่ต่ำเพียง 0.14 เท่า จึงมีศักยภาพในการขยายพอร์ทสินเชื่อได้อีก คาดกำไรสุทธิปี 61 อยู่ที่ 75  ลบ. +29%YoY จากการเริ่มรับรู้รายได้จากสินเชื่อไม่มีหลักประกันที่ประมูลมาตั้งแต่  2Q61 และสินเชื่อมีหลักประกัน ที่ประมูลมาตั้งแต่ปี 60 ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีอัตรากำไรที่สูง คาดจะช่วยหนุนอัตรากำไรสุทธิให้สูงขึ้นที่  35% จากปี 60 ที่ 23%

·    ประเด็นบวกหุ้นกลุ่มมีเดีย : จากการรายงานตัวเลขงบค่าโฆษณาของ เดือน มิ.ย. 61 “นีลเส็น” มีการเติบโตโดดเด่นในกลุ่ม ทีวีดิจิทัล (+ 65% YoY) อินสโตร์ (+ 10.8% YoY) ป้ายโฆษณา (+8% YoY) และ ทีวีอนาล็อก (+ 2.9% YoY) สะท้อนแนวโน้มผลประกอบการในงวด 2Q61 ของกลุ่ม MEDIA โดยเฉพาะ 2 กลุ่มย่อย คือ ผู้ประกอบการทีวี (MONO, WORK, RS, BEC, GRAMMY, MCOT และ AMARIN) และผู้ให้บริการสื่อนอกบ้าน (PLANB และ VGI) (ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)

·    ความเห็น การเติบโตของตัวเลขรายได้ค่าโฆษณาที่ก้าวกระโดด ทำให้ผู้ประกอบการทีวีน่าสนใจกว่า แต่อาจมีบางรายที่เผชิญความเสี่ยงจากการให้บริการระบบอนาล็อก อาทิ MCOT (กำหนดให้หยุดถ่ายทอดวันที่ 16 ก.ค. 61) BEC (มีคำสั่งให้แยกผังรายการระหว่างอนาล็อกกับดิจิทัล จาก กสทช.ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 61 แต่หมดสัมปทาน 25 มี.ค. 63) จึงแนะนำเพียง WORK MONO ที่ยังมีกำไรเติบโต และ AMARIN ที่ได้ประโยชน์จากฟุตบอลโลก 2018 ส่วน RS มีรายได้จากธุรกิจขายเครื่องสำอางค์กว่า 80%


·     ประเด็นลบกลุ่มอาหาร : ประกาศกระทรวงสาธารณสุขห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่ายอาหารที่มีไขมันทรานส์ลงราชกิจจานุเบกษา 13 ก.ค. 61 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 180 วัน คาดว่าผู้ประกอบการด้านอาหารและขนมต่างๆ ที่มีส่วนผสมไขมันทรานส์จะได้รับผลกระทบในระยะสั้น