เมื่อไหร่ต่างชาติจะหยุดขายหุ้น ชี้นับจากต้นปีขาย1.65แสนล้าน

เมื่อไหร่ต่างชาติจะหยุดขายหุ้น ชี้นับจากต้นปีขาย1.65แสนล้าน

วิเคราะห์ประเด็นร้อน! เมื่อไหร่ต่างชาติจะหยุดขายหุ้น ชี้นับจากต้นปี ขายแล้ว 165,000 ล้านบาท สวนทางภาวะเศรษฐกิจไทยก็เริ่มดูดีขึ้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ จำกัด และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้เขียนลงคอลัมน์ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันนี้ (20มิ.ย.) ระบุว่า เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจไทยก็เริ่มดูดีขึ้น ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็ยังมีแนวโน้มที่ดีราคาหุ้นโดยรวมก็ไม่ถือว่าแพง นับจากต้นปี ต่างชาติขายหุ้นไทย สุทธิไปแล้ว 165,000 ล้านบาท

ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเพราะเพิ่งผ่านมาแค่ห้าเดือนกว่าๆ และคิดเป็นเกือบ 4% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดที่ถือโดยต่างชาติ ถ้ารวมยอดขายสะสมสุทธิที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งเป็นปีแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เงินเริ่มไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ จะได้ยอดขายสะสมทั้งหมดที่สูงถึง 498,000 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือ ต่างชาติเอาหุ้นที่ไหนมาขาย เพราะถ้าดูจากยอดซื้อสะสมของต่างชาติ ระหว่างปี 2009-2012 ซึ่งเป็นช่วงที่เงินไหลเข้าตลาดเกิดใหม่มากที่สุด ก็เข้ามาแค่ 191,000 ล้านบาท แต่ทำไมขาออก ถึงออกไปมากมายกว่าหลายเท่า หรือแม้แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกใหม่ๆ เมื่อปี 2008 เงินยังไหลออกแค่ 162,000 ล้านบาทเท่านั้น

บางคนอาจแย้งว่าการเปรียบเทียบตัวเลขง่ายๆ แบบนี้น่าจะให้คำตอบที่ไม่ตรงเท่าไร เพราะยอดซื้อขายหุ้นในแต่ละช่วงมี “มูลค่า” ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับราคาหุ้นในช่วงนั้นๆ ถ้าจะให้เห็นภาพที่ชัดขึ้น ควรต้องมีการ “ปรับฐาน” ตัวเลขซื้อขายเพื่อให้สามารถเทียบเคียงกันได้ ผมได้ลองทำวิธีนี้ โดยการปรับฐานยอดซื้อช่วงปี 2009-2012 มาเป็นมูลค่าปัจจุบัน ผลที่ได้ก็คือ 357,000 ล้านบาท ซึ่งก็ยังคงต่ำกว่าเงินที่ไหลออกอยู่ดี แต่ตัวเลขนี้ยังไม่รวมถึงการลงทุนใน IPO ซึ่งไม่ได้ถูกรวมอยู่ในข้อมูลการซื้อขาย ถ้ารวม IPO และกำไรจาก IPO เข้าไปด้วย
น่าจะทำให้ส่วนต่างระหว่างตัวเลขฝั่งซื้อและฝั่งขายแคบลง

แปลง่ายๆ ก็คือ เงินที่ไหลเข้ามาช่วงหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลกได้ไหลออกไปหมดแล้ว

"ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักของการขายของต่างชาติ เป็นการขายเพื่อลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั้งหมด มากกว่าที่จะเป็นการขายเพราะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย และเนื่องจากในระยะหลัง มีการออกกองทุนประเภท ETF หรือ Index Funds จำนวนมาก ทำให้เวลามีการลดน้ำหนักการลงทุน จะเกิดแรงเทขายที่ค่อนข้างรุนแรงและรวดเร็ว เพราะกองทุนประเภทนี้สามารถปรับพอร์ตได้ทันที โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคาหุ้น"

คำถามถัดไปคือ จะดูอย่างไรว่าต่างชาติยังจะขายหุ้นไทยออกมาอีกหรือไม่ เป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะถึงแม้เงินที่ไหลเข้าช่วงหลังวิกฤติได้ออกไปหมดแล้ว แต่นักลงทุนสถาบันต่างชาติ (ไม่รวมหุ้นที่ถือโดย strategic partners เช่น MUFG ใน BAY) ยังเหลือหุ้นไทยอยู่อีกเกือบ 4,600,000 ล้านบาท แต่ถ้าดูจากสัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่ 26.7% ของ Market Cap ของตลาดหุ้น
ไทย ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปี และต่ำกว่าระดับสูงสุดที่ 31.7% เมื่อปี 2012 ค่อนข้างมาก น่าจะพอตอบได้ว่าแรงขายจากต่างชาติไม่น่าจะมีสูงมากนับจากนี้

อีกวิธีที่อาจจะพอประเมินแรงขายได้ คือ การดูแบบ bottom-up หรือการดูว่าต่างชาติถือหุ้นอะไรอยู่ และพื้นฐานหุ้นเหล่านั้นเป็นอย่างไร แพงเกินไปหรือไม่ จากข้อมูลล่าสุด หุ้น 12 ตัวแรกที่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศถืออยู่ (KBANK, PTT, CPALL, IVL, ADVANC, BBL, SCB, AOT, SCC, PTTGC, PTTEP, CPN) ซึ่งคิดเป็น 51% ของมูลค่าหุ้นทั้งหมดที่ต่างชาติถือ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นพื้นฐานดี และราคา
หุ้นได้มี Correction ไปแล้ว ซึ่งก็น่าจะพอสรุปได้เช่นกันว่าต่างชาติน่าจะเริ่มชะลอการขายหุ้นออกมา

วิธีสุดท้ายคือ การดูสัดส่วนการถือหุ้นไทยในแต่ละกองทุนที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ว่าสูงหรือต่ำแค่ไหน ข้อมูลล่าสุดที่ผมมีจากกองทุนประมาณ 500กอง มีน้ำหนักหุ้นไทยเฉลี่ยเหลืออยู่ที่ 2.8% ซึ่งใกล้เคียงกับน้ำหนักหุ้นไทยใน MSCI Asia ex. Japan Index ที่ 2.6% ซึ่งน่าจะแปลคร่าวๆ ว่าแรงขายไม่น่าจะมีมากแล้ว

นับจากนี้ (วิธีนี้มีความแม่นยที่ต่ำเนื่องจากความหยาบของข้อมูล) สรุป ผมเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนต่างประเทศเริ่มคลายกังวลเรื่องผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และเรื่องสงครามการค้า และเริ่มแยกแยะประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่แข็งแรง ออกจากกลุ่มประเทศที่อ่อนแอ เงินต่างชาติน่าจะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทย ด้วยพื้นฐานที่เข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย รวมทั้งแนวโน้มตลาดหุ้นที่ยังเป็นขาขึ้น