'ทองคำ' กำลังผงกหัวขึ้น อยากรวยปีนี้แนะ 'ซื้อย่อ-ขึ้นขาย'

'ทองคำ' กำลังผงกหัวขึ้น อยากรวยปีนี้แนะ 'ซื้อย่อ-ขึ้นขาย'

'ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์' ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล. โกลเบล็ก จำกัด แนะสูตรรวย 'ทองคำ' ปีนี้ จับจังหวะ 'ซื้อย่อ ขึ้นขาย' แม้ราคาผันผวนลงทุนยาก แต่มีโอกาสเห็นแตะ New High ปีที่แล้ว

เศรษฐกิจฟื้น-ดอกเบี้ยขึ้น ส่งสัญญาณว่า 'อัตราเงินเฟ้อ' กำลังจะตามมา...!!  ล่าสุดเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาขยับขึ้นมา 'ระดับ 2.1%' ซึ่งบงชี้ว่าราคา 'ทองคำ' กำลังจะ Comeback สะท้อนผ่านเส้นกราฟทิ่มหัวขึ้น มีความชัดเจนตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาว่าทองคำสิ้นสุดช่วง 'ขาลง' และกำลังจะเป็น 'ขาขึ้น' แล้ว 

ปี 2561 ราคาทองคำจะกลับมา? 'จุดสูงสุด' (New High) ของปี 2560 ได้ไหม คำถามนี้ 'บูม-ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์' ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ยืนยันกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week' ว่า มีโอกาสเห็นราคาทองคำขึ้นไปทำ New High อยู่ที่ 1,358 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (กลางเดือน ก.ย.2560) แน่นอน 

'โดยให้กรอบราคาทองคำปีนี้ในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 1,310-1,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย. จะมีโอกาสที่ราคาทองจะย่อลงหลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ย'

เขา ยอมรับว่า สถานการณ์ทองคำในปีนี้แม้จะเผชิญกับ 'ปัจจัยลบ' แต่ก็มี 'ปัจจัยบวก' ที่อาจส่งผลต่อให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้หลายปัจจัย ประกอบด้วย ความกังวลการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งเป็น 4 ครั้งในปีนี้ โดยอยู่ที่ 1.75% (ปรับขึ้น 0.25% มี.ค.ที่ผ่านมา) แต่ล่าสุดประกาศคงอัตราดอเบี้ยนโยบายระดับ 1.75% และคาดว่าทั้งปีจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สะท้อนผ่านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งทั้งผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่กลับมาขยายตัวเกินกว่า 2.5% ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2560 และอัตราว่างงานที่ปรับตัวลงแตะระดับ 4.1% ซึ่งต่ำสุดตั้งแต่เดือนก.พ. 2554 

แต่ประเด็นสำคัญสุด นั่นคือ 'อัตราเงินเฟ้อ' ของสหรัฐฯ ที่มีการปรับตัวขึ้นมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา สู่ 'ระดับ 2.1%' ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จะเข้ามาหนุนต่อราคาทองคำในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากมีมุมมองว่าทองคำจะถูกเข้าซื้อในฐานะ 'สินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ' จากเดิมที่ทองคำถูกมองว่าเป็น 'สินทรัพย์ปลอดภัย'

'ปัจจุบันนักลงทุนทองคำเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ จากเดิมมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย'

สอดคล้องกับนโยบายเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จากภาวะเงินเฟ้อที่ใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2% นั่นแปลว่า ทองคำยิ่งได้รับประโยชน์และมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้ ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาทิศทางตลาดหุ้นของสหรัฐฯ เป็นช่วงขาขึ้นแบบร้อนแรงมากในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มอาจจะสิ้นสุดลงในปี 2561 ได้ หากเมื่อนั้นก็จะกลับมาเป็นบวกต่อตลาดสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ

'กูรูทองคำ' บอกต่อว่า สำหรับราคาทองคำในปีนี้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยโดยได้รับ 'ปัจจัยบวก' จากความกังวลเรื่องภาวะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศจีน จากที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม รวมทั้งเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

โดยระบุว่า เป็นการลงโทษจีนที่ได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทสหรัฐฯ ซึ่งรัฐบาลจีนตอบโต้ด้วยการประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐวงเงิน 3 พันล้านดอลลาร์ 

นอกจากนี้ สหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ จากจีนเพื่อเป็นการตอบโต้รอบใหม่ รวมทั้งการที่สหรัฐฯ และพันธมิตร ยิงขีปนาวุธถล่มประเทศซีเรีย เพื่อตอบโต้จากการที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน ส่งผลให้สินทรัพย์ประเภททองคำได้รับความ 'น่าสนใจ' ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติมด้วย  

สำหรับ ปีนี้ทิศทางราคาทองคำเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์อัพในกรอบแคบลง โดยจะขึ้นลงตามอัตราเงินเฟ้อมากกว่า แตกต่างจากปีที่แล้วที่ราคาทองคำเคลื่อนไหวไซด์เวย์อัพในกรอบใหญ่ จะเป็นลักษณะขึ้นเป็นรอบและลงเป็นรอบ  ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น 'เล่นเก็งกำไร' หากจังหวะราคาทองย่อตัวให้เข้าซื้อ และเมื่อราคาทองขึ้นให้รีบขาย

'กลยุทธ์การลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก หากราคาย่อลงต่ำกว่า 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นจังหวะทยอยซื้อสะสม'  

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาทองคำเริ่มเปลี่ยนความน่าสนใจมาเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ สะท้อนเห็นภาพได้จากในอดีตหากราคาทองปรับตัวขึ้น อัตราดอกเบี้ยจะต่ำลง แต่หากมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยราคาทองคำจะแทงยอดใหม่ เพราะว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นซึ่งทองคำจะปรับตัวลง 

ทว่า ในรอบนี้เมื่อเฟดมีการประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ออ่นค่า แนวโน้มทองคำดูจากเส้นกราฟจะเห็นว่าเริ่มแทงยอดใหม่ ราคาทองคำไม่ได้ลงตามการขึ้นดอกเบี้ย นั่นแปลว่าพฤติกรรมรูปแบบการเคลื่อนไหวของทองคำในการตอบสนองต่อข่าวเปลี่ยนไปแล้ว 

ถามว่าราคาทองคำมีโอกาสจะขึ้นไปแตะ New High สูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2554 ที่ราคาทองคำ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไหม? 'กูรู' ตอบว่า เป็นเรื่องคาดการณ์ยากมาก ถ้ามองเป็นเงินสกุลเงินดอนลาร์มีโอกาสถึง แต่คาดว่าจะไม่ได้เห็นในระยะภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เพราะว่าปัจจัยหลักๆ ต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เข้ามากระทบ อาทิ สงครามขยายวงกว้าง แต่หากมองในแง่ของทองคำสกุลเงินบาทมองว่าโอกาสจะขึ้นไปแตะ New High เดิมคงเป็นเรื่องยากมาก 

เขา บอกว่า ทิศทางทองคำปรับตัวลงในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเนื่องจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นเกิน 3% ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยประเภทอื่นๆ พุ่งขึ้นด้วย  ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อตลาดต่างๆ ซึ่งรวมถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ 

นอกจากนี้ การที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ระดับ 2.3% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดยังเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำเพิ่มเติมรวมทั้ง ทองคำได้รับความสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง หลังผู้นำเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ประกาศปฏิญญาหลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมกันว่าจะทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดจากนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ และตกลงที่จะยุติสงครามเกาหลีอย่างเป็นทางการ ด้วยการทำข้อตกลงสนธิสัญญาสันติภาพภายในปีนี้อีก 

ท้ายสุด 'กูรู' ให้คำแนะนำว่า ควรเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้น และเน้นย้ำว่า ควรวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน ที่มีจุดเข้าซื้อและจุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมติดตามข่าวสารประกอบการลงทุนทองคำอย่างใกล้ชิด

ลุ้น 'กองทุน' สวิสเข้า 'ทองคำ'  

'บูม-ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์' ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด บอกว่า สำหรับ 'ทองคำ' ยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจ และปัจจุบันนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อทองคำว่าเป็นสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ หลังเศรษฐกิจฟื้นและเฟดขึ้นดอกเบี้ย สะท้อนว่าเงินเฟ้อกำลังจะตามมา 

ฉะนั้น หากแนะนำสำหรับ 'นักลงทุน' ก็ควรมีทองคำที่ถือเป็นสิทรัพย์ปลอดภัยที่มีสภาพคล่องที่ดีไว้ประดับพอร์ตลงทุน 'ไม่เกิน 5-20%'

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปี 2561 ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ 'ผลตอบแทน' แค่ 'ระดับ 2%' เท่านั้น จากต้นปีราคาทองคำอยู่ที่ 1,302 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากเทียบกับปีที่แล้วที่ให้ผลตอบแทน 13% ส่วนปีนี้มองว่าผลตอบแทน 'ลดลง' อยู่ที่ 10% ภายใต้สมมุติฐานราคาทองขึ้นไปแตะ 1,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพราะว่าการลงทุนในทองคำปีนี้ 'ยาก' กว่าปีที่แล้ว เนื่องจากวิเคราะห์หาจังหวะการเข้าซื้อ และจังหวะการขายยากกว่า จากการที่ราคาทองผันผวนมากกว่า และปัจจัยสำคัญคือเงินบาทแข็งค่ากว่าปีที่แล้ว  ทำให้การลงทุนยากขึ้นอีกเท่าตัว 

'ไม่มีสิทรัพย์ประเภทไหนที่จะเป็นขาขึ้นตลอด ผลสุดท้ายนักลงทุนประเภทกองทุน ต้องสวิสเพื่อหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อการลงทุน'  

ยกตัวอย่าง เมื่อต้นปี 2560 ราคาทองคำช่วงต้นปีขยับตัวขึ้นมามาก เพราะว่าทองคำมีการพักฐานมานานแล้ว ดังนั้น เมื่อนักลงทุนกองทุนเปลี่ยนมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำก็ทำให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้

'นโยบายหลักๆ ของบรรดากองทุนจะแสวงหาโอกาสสวิสเข้ามาหาสินทรัพย์ประเภทที่ยังขึ้นมาไม่มาก'  

เขา บอกว่า หากดูในปีนี้สินทรัพย์ที่สามารถรับเม็ดเงินลงทุนก้อนใหญ่ จากนักลงทุนประเภทกองทุนได้และยังมีผลตอบแทนไม่สูง คงเหลือแค่ 'ทองคำ' สร้างผลตอบแทนแค่ 2% เท่านั้น ขณะที่  'น้ำมันดิบ' ราคามีการปรับตัวขึ้นมากกว่า 15% โดยตั้งแต่ต้นปี 2561 ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60 เหรียญต่อบาร์เรล แต่ล่าสุดราคาอยู่ที่ 69 เหรียญต่อบาร์เรล  

ด้านสินทรัพย์ประเภท 'อุปโภค-บริโภค' (คอมมูนิตี้)  อาทิ ยางพารา , น้ำตาล แม้ราคายังไม่สูงมาก แต่ว่าสินค้าคอมมูนิตี้บางตัวก็ไม่สามารถรับเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่ของกองทุนได้ ส่วนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีผลตอบแทนอยู่ที่ 2.3% แต่ว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาดัชนี SET INDEX ทยานขึ้นมาพีคสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แล้ว ซึ่งปัจจุบันนักลงทุนสถาบันต้องใช้กลยุทธ์สลับตัวหุ้นเล่น 

'ฉะนั้น ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งหลักในการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย นั่นคือ มีไว้ประดับพอร์ตและเป็นการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย'