"แอมเนสตี้" แถลงรายงานประจำปี ชี้ทั่วโลกยังพบการละเมิดสิทธิ์ มองแรงขับเคลื่อนจาก ภาคปชช. ดีขึ้น ด้านไทย ประเมินยังแย่ และน่าเป็นห่วง จี้ "คสช."เลิกกฎหมายจำกัดสิทธิ-เสรีภาพ
ที่โรงแรมเดอะสุโกศล กทม. แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นเนล แถลงเปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ประจำปี 2560/2561 ผ่านการรวบรวมรายงานเกี่ยวกับสิทธิตลอดปี 2560 โดย นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ เนชั่นเนล ประเทศไทย สรุปภาพรวมถึงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนทั่วโลก ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์โลกมีแนวโน้มที่จะใช้คำพูดเพื่อให้เกิดความเกลียดชัง หรือขัดแย้งจากผู้นำประเทศเพิ่มมากขึ้น และเกิดขึ้นจนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคม ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้นำในประเทศภูมิภาคดังกล่าวล้มเหลวด้านการปกป้องนักสิทธิมนุษยชน ขณะที่นักกิจกรรม หรือ นักปกป้องสิทธิถูกจำกัดสิทธิและการเคลื่อนไหว เช่น ประเทศกัมพูชา และประเทศไทย ขณะที่การต่อสู้ด้านสิทธิของประชาชน ยังพบว่ามีหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ที่ประเทศชิลี สามารถผลักดันกฎหมายว่าด้วยการทำแท้ง, ไต้หวัน สามารถขับเคลื่อนสิทธิแต่งงานของคนเพศเดียวกันได้ เป็นต้น
นางปิยนุช ตอบคำถามผู้สื่อข่าวด้วยว่าสำหรับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี2560 ถือว่ายังอยู่ระดับแย่ และน่าเป็นห่วง เพราะจากปรากฎการณ์ล่าสุดที่กลุ่มผู้เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง หรือกลุ่ม MBK39 ที่ถูกดำเนินคดี ทำให้เห็นว่าการใช้สิทธิโดยสงบของประชาชนนั้นยังไม่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้แอมเนสตี้ฯ เรียกร้องให้คสช. ยกเลิกคำสั่งหรือกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 เพื่อไม่ให้มีกลไกหรือข้อกฎหมายที่เอื้อต่อการปฏิบัติละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน
"แม้เราไม่ทราบว่าการยกเลิกกฎหมายหรือประกาศ คสช.ที่จำกัดสิทธิไปแล้ว จะทำให้สถานการณ์ละเมิดสิทธิดีขั้นหรือไม่ แต่เชื่อว่า หากไม่มีกลไกหรือกระบวนการทางกฎหมายที่เอื้อให้เกิดการละเมิดสิทธิแล้ว การจำกัดสิทธิของประชาชนจะไม่เกิดขึ้น" นางปิยนุช กล่าวตอบคำถาม
ขณะที่ ดร.อันธิฌา แสงชัย รองประธานกรรมการแอมเนสตี้ฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทย ด้านการเสรีภาพการแสดงออกถูกจำกัดและละเมิดสิทธิจำนวน มาก เพราะอยู่ภายใต้การบังคับใช้ คำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ทำให้นักกิจกรรม, นักเคลื่อนไหว,นักการเมือง, ประชาชน ถูกจับกุมและควบคุมอย่างพลการ นอกจากนั้นยังใช้มาตรา 44 เพื่อจับกุม ดำเนินคดีบุคคลที่เห็นต่างจากรัฐ นอกจากนั้นยังพบว่าพลเรือนถูกนำตัวสอบสวนผ่านศาลทหารด้วย
"รัฐบาลไม่ได้ปฏิบัติตามพันธสัญญาและให้สัตยาบรรณระหว่างประเทศต่อการบังคับบุคคลให้สูญหาย และไม่ทราบว่าจะมีการให้สัตยาบรรณ หรือออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องเมื่อใด ส่วนประเด็นของผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ประมาณปีละ 1 แสนคน ยังมีความเสี่ยงถูกจับกุม และส่งออกนอกราชอาณาจักร รวมถึงไม่ได้คุ้มครองตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามมีนิมิตรหมายที่ดีที่รัฐบาลเตรียมออกระบบคัดกรองผู้ลี้ภัย ซึ่งพวกเราต้องติดตามต่อไป" ดร.อันธิฌา กล่าว
รองประธานกรรมการแอมเนสตี้ฯ กล่าวด้วยว่าสำหรับการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย พยายามขอความร่วมมือไปยังเว็ปไซต์ กูเกิ้ล, เฟซบุ๊ค เพื่อระงับการเผยแพร่ ซึ่งถือว่าความเป็นส่วนตัวของบุคคลนั้นถูกสอดแนมมากพอสมควร
"แอมเนสตี้มีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ห้ามการชุมนุมทางการเมือง รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ นอกจากนั้นเรียกร้องให้ยุติการควบคุมตัวโดยพลการ ยุตินำพลเรือนขึ้นศาลทหาร ผ่านอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ประเด็นการให้ความคุ้มครองบุคคล ควรคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน" รองประธานกรรมการแอมเนสตี้ฯ กล่าวด้
เปิดรายงานสถานการณ์ของไทย ชี้คนเห็นต่างจากรัฐยังถูกจำกัดเคลื่อนไหว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายงานด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชน ประจำปี 2560/61 ส่วนของประเทศไทย มีเนื้อหาโดยสรุปว่า ภายใต้การปกครองของกองทัพ และรัฐบาลทหาร มีนักกิจกรรม ผู้สื่อข่าว นักการเมือง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกจับกุม ควบคุมตัว และดำเนินคดีเพราะการแสดงความคิดเห็นอย่างสงบเกี่ยวกับรัฐบาลและสถาบันเบื้องสูง ซึ่งการใช้อำนาจของรัฐบาลดังกล่าวทำให้กลายเป็นข้อจำกัดของการใช้สิทธิและเสรีภาพด้านการแสดงออก ซึ่งหมายถึงการชุมนุมอย่างสงบ รวมถึงมีมาตรการกดดันไปยังสื่อสังคมออนไลน์ให้ลบเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันเบื้องสูงและมีคำขู่จะดำเนินคดีกับบุคคลที่สื่อสารหรือส่งต่อข้อความหรือเนื้อหาด้งกล่าว
เสนอข้อเรียกร้อง7ด้านให้ "รัฐบาล"ปฏิบัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานถึงข้อเรียกร้องของแอมเนสตี้ฯ ต่อรัฐบาลไทย ในโอกาสที่รัฐบาลประกาศให้วาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชนขับเคลื่อนไทยแลนด์4.0 ใน 7 ด้านดังต่อไปนี้ 1.ด้านความขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ เรียกร้องให้รัฐใช้มาตการสอบสวนที่มีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานกับทุกฝ่าย และ ต้องรับรองบุคคลที่ถูกคุมตัวเข้าถึงทนายความ ญาติ นักสิทธิมนุษยชนที่เป็นอิสระมีสิทธิเข้าเยี่ยมผู้ถูกควบคุมตัวได้ รวมถึงได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม
2.ด้านการทรมาณ การปฏิบัติที่โหดร้าย รวมถึงบังคับบุคคลให้สูญหาย เรียกร้องให้หน่วยงานผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมาณและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.... ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับพันธกิจของประเทศไทยตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ, ให้สอบสวนอย่างอิสระรอบด้านต่อข้อกล่าวหา และรัฐบาลต้องให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยบังคับ และพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาณ นอกจากนั้นแล้วต้องเร่งสืบหาและเปิดเผยที่อยู่ของนายสมชาย นีละไพจิตร และ นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ และบุคคลอื่นที่ถูกบังคับให้สูญหาย
3.การปราบปรามจากผู้เห็นต่างจากรัฐ เรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมหรือทำกิจกรรมทางการเมือง รวมถึงยกเลิกคำสั่งหรือกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ และให้สิทธิ เสรีภาพของประชาชนต่อการชุมนุม หรือแสดงความเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือส่งต่อข้อมูล, ขณะที่การปฏิบัติต่อบุคคลด้านการใช้สิทธิและเสรีภาพนั้นต้องเป็นไปตามกระบวนการปกติ ยุติใช้ศาลทหารเพื่อไต่สวนคดีของพลเรือน, ยุติการควบคุมตัวโดยพลการ
4. ด้านการปกป้องสิทธิมนุษยชน รัฐบาลต้องยุติการโจมตี การใช้กระบวนการทางอาญาเพื่อปราบปรามบุคคลที่ใช้สิทธิมนุษยชนของตนอย่างสงบ และต้องสนับสนุนการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและสนับสนุนนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและบุคคล
5.ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่ลี้ภัย เรียกร้องให้รัฐบาลเคารพต่อหลักการไม่ส่งกลับและรับรองว่าจะไม่ขับไล่ ส่งกลับหรือบังคับให้เดินทางกลับประเทศหรือดินแดนต้นทางที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง รวมถึงเคารพต่อพันธกรณีระหว่างประเทศที่อนุญาตให้ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยเข้าถึงกระบวนการแสวงหาที่ลี้ภัยและรับรองว่าบุคคลดังกล่าวจะได้รับความคุ้มครอง
"รัฐบาลต้องร่วมมือกับองค์กรด้านสิทธิผู้ลี้ภัยและองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อทำนโยบายและขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อคัดกรองผู้ลี้ภัย และเปิดโอกาสให้กลุ่มดังกล่าวเสนอคำแนะนำหรือนโยบายหรือความเห็นต่อร่างกฎหมายรวมถึงระเบียบที่เกี่ยวข้องได้ นอกจากนั้นต้องให้หลักกันว่าจะไม่เอาผิดทางอาญา ไม่ควบคุมตัว เพราะวิธีการเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายเท่านั้น และต้องให้หลักประกันว่าจะไม่กักขังผู้แสวงหาที่ลี้ภัย"
6. โทษประหารชีวิต รัฐบาลต้องพักใช้การลงโทษแบบดังกล่าวอย่างเป็นทางการโดยทันที รวมถึงต้องเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อลดจำนวนความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต และ 7.กฎหมายจำกัดเสรีภาพในการแสดงความเห็น เรียกร้องให้ฟื้นฟูสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบโดยทันที และถอนข้อกล่าวหา รวมถึงปล่อยตัวบุคคลที่ถูกขุมขับเพราะถูกดำเนินคดีจากใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็น นอกจากนั้นเรียกร้องให้แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ.