ศาลฎีกาสั่งจำคุก3เดือน 'ธาริต' ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน

ศาลฎีกาสั่งจำคุก3เดือน 'ธาริต' ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน

ศาลฎีกาสั่งจำคุก3เดือน "ธาริต เพ็งดิษฐ์" อดีตอธิบดีดีเอสไอ เหตุไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน พร้อมขอสารภาพ

เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ นัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลย ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกล่าวหา นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่พ้นจากราชการ ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบการทุจริตฯ มาตรา 119 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการยื่นคำร้องดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลัง ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ ชี้มูลความผิดนายธาริตเมื่อปี 2559

ขณะที่ทรัพย์เป็นบัญชีเงินฝากตัวเอง 4 บัญชี , ที่ดินสิ่งปลูกสร้างชื่อตนเองและภรรยา , หน่วยลงทุน 2 บริษัทของตัวเอง และบัญชีเงินฝากอีก 2 บัญชีของตัวเองกับภรรยา ซึ่งนายธาริต มอบหมายให้หลานภรรยาดูแล แต่ไม่ยอมแจ้งต่อ ป.ป.ช.

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.60 ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านและอธิบายคำฟ้องให้นายธาริต รับฟังแล้ว นายธาริตได้ยื่นคำรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งวันนี้ นายธาริต ก็ให้การรับสารภาพอีกครั้งองค์คณะฯ พิจารณาแล้วจึงเห็นว่า การกระทำของนายธาริต เป็นการจงใจปกปิดบัญชีฯ นับจากพ้นจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ

จึงพิพากษาห้ามนายธาริตดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.60 ที่ได้พ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และให้จำคุก 6 เดือน กับปรับเป็นเงิน 10,000 บาท นายธาริตให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จึงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท แต่ไม่เคยต้องโทษมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ส่วนคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้กว่า 90 ล้านอยู่ระหว่างรอศาลแพ่ง ไต่สวนพยานฝ่ายนายธาริต ผู้คัดค้าน ซึ่ง ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของนายธาริต กระทั่งชี้มูลความผิดเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 59 ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติขณะดำรงตำแหน่ง "อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ" รวมมูลค่ากว่า 346 ล้านบาท โดยได้อายัดทรัพย์ที่มีชื่อของนายธาริต,นางวรรษมล คู่สมรส และบุคคลที่เกี่ยวข้องถือครองแทนไว้ชั่วคราวก่อนหน้านี้กว่า 90 ล้านบาท