หิ้ว 2 โจ๋วินเถื่อนรีดค่าโดยสารแพงทำเเผน

หิ้ว 2 โจ๋วินเถื่อนรีดค่าโดยสารแพงทำเเผน

ตร.หิ้ว2โจ๋วินจยย.เถื่อนข่มขู่เหยื่อเรียกค่าโดยสาร 450 บาททำเเผน สารภาพทำมาเป็นปีเลือกเหยื่อเดินทางจากตจว. พบประวัติอาชญากรรมเพียบ!!

เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 4 มกราคม 2561 พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน ผกก.สน.บางซื่อ และฝ่ายสืบสวน ร่วมแถลงการจับกุมนายธรรมรัตน์ อ่ำน้อยวงษ์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 273/190 ถนนพะเนียง แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. และนายนพรัตน์ วัฒนไชย อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 209 ถนนนนทรี แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. พร้อมของกลางรถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีขาว-ดำ ทะเบียน 6กค8788กรุงเทพมหานคร และรถจยย.ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีแดง-ดำ ทะเบียน วลข943กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เสียหายทั้งหมด 4 รายเดินทางมาชี้ตัวผู้ต้องหาด้วย

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า จากกรณีที่เมื่อวานนี้มีคนร้ายสวมรอยขับขี่รถจยย.รับจ้างสาธารณะ และได้มีการข่มขู่กรรโชกทรัพย์ค่าโดยสารจากผู้เสียหายเกินราคา ต่อมาทางตำรวจสน.บางซื่อได้เร่งรัดจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด โดยเมื่อช่วงกลางดึก วันที่ 2 มกราคม ที่ผ่านมา ขณะที่นายณัฐกานต์ เหลืองพิพัฒน์ชัย อายุ 20 ปี และนายเกริกพล ชุมเพ็ง อายุ 20 ปี ทั้งหมดเป็นนักศึกษาปี 3 เอกภาพยนตร์ คณะนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต ได้เดินทางมาจากจ.เชียงใหม่ ถึงสถานีขนส่งจตุจักร ระหว่างที่ยืนรอรถรับจ้างสาธารณะที่ฝั่งตรงข้าม นายนพรัตน์ และนายธรรมรัตน์ ได้ขับขี่รถจยย.ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ ขับมาหาผู้เสียหายก่อนพูดจาหว่านล้อมบอกว่ารถติดมาก ไปรถแท็กซี่ก็จะเสียค่ารถแพง จากนั้นจึงได้ตกลงกันให้ไปส่งที่บริเวณป้ายรถเมลล์วัดเสมียนนารี แต่เมื่อผู้เสียหายทั้ง 2 คนหลงเชื่อจึงขึ้นรถ แต่รถจยย.ทั้ง 2 คัน ได้ขับแยกออกคนละเส้นทาง โดยไปส่งนายณัฐกานต์ที่บริเวณหน้าคอนโดศุภาลัยปาร์ค ฝั่งตรงข้ามธ.ไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ และไปส่งนายเกริกพลที่ข้างวัดเสมียนนารี โดยเรียกเก็บค่าโดยสารคนละ 480 บาท เมื่อผู้เสียหายทั้ง 2 บอกว่าเงินไม่พอ ก็ถูกพูดจาข่มขู่ทำให้กลัวประกอบกับเป็นสถานที่เปลี่ยว และเป็นเวลากลางคืน จึงยอมจ่ายเงินไป ก่อนเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สน.บางซื่อ จากนั้นพนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมหลักฐานขอหมายจับจากศาลอาญาจนสามารถจับกุมค้นร้ายทั้ง 2 คนไว้ได้

ด้านน.ส.สุดารัตน์ บุญชัย อายุ 20 ปี พนักงานร้านจิลเวอรี่แห่งหนึ่ง หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า ตนเดินทางมาจากจ.อุบลราชธานี ถึงสถานีขนส่งจตุจักร เวลาประมาณ 6.50 น. จากนั้นได้เดินออกมาเรียกรถแท็กซี่ บริเวณริมถนนกำแพงเพชร 2 ด้านหน้าสถานีขนส่ง แต่ไม่มีรถจอดรับ ระหว่างนั้นยืนรอ นายธรรมรัตน์ ก็ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาสอบถาม โดยบอกว่าจะพาไปส่งยังจุดที่มีรถแท็กซี่ ตนจึงยินยอมให้ไปส่ง กระทั่งไปถึงปลายทาง ห่างจากจุดที่ขึ้นรถไม่ถึง 1 กิโลเมตร นายธรรมรัตน์ได้เรียกเก็บค่าโดยสารในราคา 450 บาท ตนจึงขอต่อรองจ่ายแค่ 100 บาท เนื่องจากเห็นว่าค่าโดยสารแพงเกินไป แต่นายธรรมรัตน์ไม่ยอม อ้างว่าต้องจ่ายค่าเช่าวินในราคาสูง ก่อนที่ผู้เสียหายจะเรียกรถแท็กซี่ เพื่อขึ้นรถ ทำให้นายธรรมรัตน์ เข้ากระชากคอเสื้อ และข่มขู่ ตนจึงยื่นแบงค์ 100 บาทให้ ประกอบกับมีรถแท๊กซี่ข้างหลังบีบแตร นายธรรมรัตน์จึงเอาเงิน และปล่อยตนในที่สุด จากนั้นตนรีบปิดประตูรถแท็กซี่ และให้รีบพาออกไปจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวตนรู้สึกตกใจมากหลังจากลงคลิปไปในเฟซบุ๊ก และมีคนแชร์ต่อจำนวนมาก ตนก็ยังกังวลว่าคนร้ายจะตามมาทำร้าย จึงได้เดินทางไปแจ้งความ ทั้งนี้ตนไม่เคยเดินทางกลับผ่านสถานีขนส่งจตุจักรมาก่อนเพราะที่ผ่านมาใช้บริการรถตู้สาธารณะที่จะลงตรงที่พักพอดี แต่วันเกิดเหตุเป็นช่วงคนกลับ กทม. ทำให้ไม่มีรถจึงต้องกลับทางรถ บขส. จนเกิดเหตุดังกล่าว

พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 รายให้การรับสารภาพ โดยทำกันมานานเป็นปีแล้ว โดยจะขับรถจยย.ตระเวนหาเหยื่อที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด ส่วนใหญ่จะอาศัยจังหวะช่วงเทศกาล เนื่องจากมีคนเดินทางเยอะ และมีการจราจรที่ติดแน่นไม่สามารถนั่งรถแท็กซี่หรือรถเมลล์ได้ นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติพบว่าคนร้ายทั้ง 2 คนมีประวัติอาชญากรรมมาอย่างโชกโชน พร้อมฝากประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อเข้าแจ้งความเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ. เพราะ ข้อหากรรโชกทรัพย์ใน1กรรม มีโทษโทษจำคุก5ปี ปรับไม่เกิน1แสนบาท ซึ่งหากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความมาก จะเป็นการบวกจำนวนโทษให้ผู้กระทำความผิด ได้รับโทษมากขึ้น ทั้งนี้หลังสรุปสำนวนส่งต่อศาลจะทำสำนวนขอเพิ่มโทษ เนื่องจากผู้ต้องหาเคยก่อคดีลักษณะนี้มาหลายครั้ง และเคยต้องโทษจำคุกมาแล้วแต่ไม่เข็ดหลาบ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ , ใช้รถจักรยานยนต์ไม่ตรงตามประเภทที่ได้จดทะเบียนไว้ , ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาติขับขี่ , ใช้รถไม่เสียภาษีประจำปี และไม่พกพาสำเนาทะเบียนรถส่งพนักงานสอบสวนสน.บางซื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.