3 เศรษฐีรวยหุ้น ธุรกิจบูม & กระเป๋าตุง

3 เศรษฐีรวยหุ้น ธุรกิจบูม & กระเป๋าตุง

เปิดพอร์ตลงทุน 3 นักธุรกิจ หลังความมั่งคั่งเพิ่มพูน ตาม Capital Gain ขยับฐานะขึ้นแท่น “เศรษฐีหุ้นเมืองไทย” สะท้อนผ่านมาร์เก็ตแคป ระดับ“หมื่นล้าน”..!!

ประสบความสำเร็จ จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สร้างความโดดเด่นในรูปของ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” (Market Capitalization) ที่ยืนเหนือระดับหมื่นล้าน” สำหรับ 3 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG  บมจ.บิวตี้คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY และ บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ หรือ WORK

กลายเป็นการเกิดขึ้นของ 3 เศรษฐีหุ้นใหม่  แอ๊ด คาราบาว” หรือ “ยืนยง โอภากุล ผู้ร่วมก่อนตั้ง คาราบาวกรุ๊ป “นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ” หุ้นใหญ่ บิวตี้คอมมูนิตี้ และ ปัญญา นิรันดร์กุล” หุ้นใหญ่ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ที่พิสูจน์ฝีมือจากการเติบโต ก้าวกระโดดของธุรกิจจนความมั่งคั่งให้พุ่งทยาน ประเมินจาก กำไรจากส่วนต่างของราคา”(Capital Gain) ที่ขยับเพิ่มขึ้น แตะระดับพันล้านไปจนถึงหมื่นล้าน

“กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” เปิดเส้นทาง ความร่ำรวย ของ3 หุ้นใหญ่นักธุรกิจ...!!

ศิลปินระดับตำนานเพลงเพื่อชีวิต แอ๊ด คาราบาว” เมื่อธุรกิจเพลงอยู่ในภาวะ“ขาลง” จากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนฟังเพลงเปลี่ยนไป พร้อมกับสไตล์เพลงที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ทำให้ แอ๊ดคาราบาวจำต้องผันตัวเองสู่เส้นทางใหม่ 

แปรวิกฤตเป็นโอกาส นำความเป็น ซูเปอร์สตาร์ มาเป็นทุนร่วมหุ้นกับ เสถียร เศรษฐสิทธิ์และ ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ” ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้แบรนด์ คาราบาวแดง ในชื่อ บริษัท คาราบาวตะวันแดง จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2544 ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยครานั้นแอ๊ดถือหุ้น 516,500 หุ้น หรือ 25.8% คิดเป็นเงิน 51.6 ล้านบาท “ณัฐชไม”และ “เสถียร” ถือหุ้นคนละ 27% และ 19% ตามลำดับ 

เมื่อได้แอ๊ดมาเป็นแม่เหล็กทางการตลาด แน่นอนกลยุทธ์ช่วงชิงตลาดเครื่องดื่มชูกำลังของคาราบาวกรุ๊ป คือการนำ Music Marketing มาใช้พ่วงกับ Sport Marketing จนธุรกิจประสบความสำเร็จ ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 2 แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังของไทย ก่อนจะนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2557 ด้วยราคาเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่ 28 บาท 

จากวันนั้นถึงวันนี้ คาราบาว กรุ๊ป กลายเป็นบริษัทที่มี Market Cap ขยับขึ้นมาเป็น 82,250 ล้านบาท (1 ธ.ค.2560) จาก 32,500 ล้านบาท (21 พ.ย.2557) หรือพุ่งขึ้น มากถึง 153.07%”

ขณะที่วันแรกราคาหุ้น CBG อยู่ที่ 35 บาท จากราคาไอพีโอ 28 บาท แต่ปัจจุบันพบว่าราคา หุ้น CBG อยู่ที่ 82.25 บาท (1 ธ.ค.2560) โดยปี 2560 ถือว่าหุ้น CBG ขึ้นไปทำราคา จุดสูงสุด” (นิวไฮ) 108.50 บาท (27 ต.ค.2560) ราคาต่ำสุด 50.50 บาท (13 มี.ค.2560) ราคาเฉลี่ย 73.70 บาท

การเติบโตของราคาหุ้น CBG  ยังสะท้อนผ่านผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2557-2559) บริษัทมี กำไรสุทธิ” 913.14 ล้านบาท 1,255.35 ล้านบาท และ 1,489.76 ล้านบาท ขณะที่มี รายได้” 7,574.64 ล้านบาท 7,874.32 ล้านบาท และ 10,112.15 ล้านบาท ตามลำดับ

ปัจจุบันแอ๊ด คาราบาว” คือผู้ถือหุ้นอันดับ 3  จำนวน 70,480,000 หุ้น หรือ 7.05% รองจาก บริษัท เสถียรธรรมโฮลดิ้ง จำกัด และ ณัฐชไม ถนอมบูรณ์เจริญ ถือหุ้นสัดส่วน 25.01% และ 21% ตามลำดับ

หากคำนวณกับจำนวนหุ้นที่แอ๊ดถืออยู่กับราคาหุ้น CBG สูงสุดของปีนี้ 108.50 บาท พบว่าจะได้เม็ดเงิน ประมาณ 7,647 ล้านบาท” 

เท่ากับว่า เขาใช้เวลาเพียง 3 ปี สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้แตะหลักพันล้านบาท !!

ฉะนั้น คำพูดที่ว่า แอ๊ด คาราบาว เป็นนักร้องที่ร่ำรวยสุดในประเทศไทยคงไม่ผิดนัก

อีกหนึ่งเศรษฐีหุ้นคนใหม่ นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.บิวตี้คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY เขาเริ่มต้นธุรกิจเครื่องสำอางจากร้านใต้บันไดที่โบนันซ่า สยาม ใช้เงินลงทุนแสนบาท บัดนี้ได้กลายมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap แตะ 63,357.70 ล้านบาท (1 ธ.ค.2560) ขยับขึ้นจากต้นปีนี้ 36,000 ล้านบาท (4 ม.ค.2560) พุ่งกว่า 75.99% ถือว่าหุ้น ฮอตฮิต” ที่ถูกพูดถึงในปีนี้อย่างมาก

ขณะที่ปัจจุบันราคาหุ้น BEAUTYอยู่ที่ 20.70 บาท (6 ธ.ค.2560) และในปีนี้ทำ จุดสูงสุด 22.30 บาท (22 พ.ย.2560) ราคาต่ำสุด 9.05 บาท (25 เม.ย.2560) ราคาเฉลี่ย 13.06 บาท ซึ่ง หมอสุวินถือหุ้นใหญ่จำนวน 523,974,000 หุ้น คิดเป็น 17.45% และรองอันดับสองเป็นกองทุน STATE STREET EUROPE LIMITEDถือหุ้นจำนวน 262,701,600 หุ้น คิดเป็น 8.75%

หากลองคำนวณกับจำนวนหุ้นที่ “หมอสุวิน” ถืออยู่กับราคาหุ้น BEAUTY คิดที่ราคาสูงสุดของปีนี้ 22.30 บาท พบว่าจะได้เม็ดเงิน ราว11,662 ล้านบาท 

เท่ากับว่า เขาใช้เวลาเพียง 5 ปี สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ถึง 1.16 หมื่นล้านบาท !!

ขณะที่ ระหว่างทางมีกำไรจากการขายหุ้นออกไปแล้ว โดยเมื่อปี 2559 ตระกูลไกรภูเบศ” ตัดขายจำนวน300 ล้านหุ้นหรือ10% ให้นักลงทุนสถาบัน ครั้งนั้นรับเงินกว่า 3,300 ล้านบาท จากวันแรกที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือหุ้นสัดส่วน 32.33%แต่ปัจจุบันถือหุ้นลดลงเหลือ 17.45%

สะท้อนเห็นภาพว่าที่ผ่านมาหุ้น BEAUTY ถือได้ว่าเป็นหุ้นประเภท “High Growth Stock” ตัวจริง ถ้าวัดจากผลงานในอดีตที่ผ่านมา ที่เติบโตโดดเด่นอย่างมากตั้งแต่เข้าตลาดหุ้น

สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี (2557-2559) มีกำไรสุทธิ 301.16 ล้านบาท 402.49 ล้านบาท และ 656.01 ล้านบาท ขณะที่รายได้ 1385.27 ล้านบาท 1,792.03 ล้านบาท และ 2,558.84 ล้านบาท ตามลำดับ

หากย้อนกลับไปดู จุดเริ่มต้นของ BEAUTY” เริ่มขึ้นจาก“หมอสุวิน” เบนเข็มจากอาชีพแพทย์สู่การเป็นนักธุรกิจเต็มตัวภายใต้แบรนด์เครื่องสำอางซึ่ง BEAUTY ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกเครื่องสำอาง (มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง) จัดจำหน่ายภายใต้แนวคิดหรือแบรนด์ 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.บิวตี้ บุฟเฟต์ (Beauty Buffet) ซึ่งเป็นแบรนด์หลัก2.บิวตี้คอทเทจ (Beauty Cottage)3.บิวตี้มาร์เก็ต (Beauty Market)4.เมด อิน เนเจอร์ (Made in Nature) และ 5.บิวตี้ พลาซ่า (Beauty Plaza)

จนกระทั้งเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2555 บิวตี้คอมมูนิตี้” เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยราคาไอพีโอ 8 บาท นับตั้งแต่วันนั้นมา BEAUTY นับเป็นบริษัทดาวรุ่งเติบโตแรงมาโดยตลอด เฉลี่ย 5 ปี โตราว 46% ต่อปี

ถ้าตราบใด ผู้หญิงยังไม่หยุดสวย BEAUTY ก็จะเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นเองไม่สนใจว่าภาวะเศรษฐกิจจะผันผวนแค่ไหนหมอสุวิน เคยบอกเช่นนั้น

ขณะที่เจ้าพ่อเกมโชว์อย่าง เสี่ยตา-ปัญญา นิรันดร์กุล” ประธานกรรมการบริษัท บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์หรือ WORK ปี 2560 ถือเป็นปีแห่งความร่ำรวยและมั่งคั่งของเสี่ยตาโดยแท้...!!

หลังมีการรายงานการขายหุ้น WORK ของ 2 หุ้นใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 นั่นคือ ปัญญา และ เสี่ยจิก-ประภาส ชลศรานนท์ รองประธานกรรมการ โดยเป็นการขายให้กับผู้ลงทุนในวงจำกัดแบบข้ามคืน (Overnight Book building Transaction) ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ราคาหุ้นละ81 บาทรวมกันจำนวน 16 ล้านหุ้น หรือ3.8% คิดเป็นเงินประมาณ 1,296 ล้านบาท!! กวาดเงินเข้ากระเป๋าไปรายละ 648 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนการถือหุ้นของ “ปัญญา” จำนวน 108,131,140 หุ้น อยู่ที่ 25.68% และ“ประภาส” ถือหุ้นรองอันดับสอง จำนวน 108,128,750 หุ้น อยู่ที่ 25.68% โดยทั้งคู่ยังคงกุมบังเหียนธุรกิจเช่นเดิม 

ย้อนไปดูพบว่า บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่29 ก.ย.2547 ด้วยราคาไอพีโอ 15 บาท แต่ปัจจุบันราคาหุ้น WORK อยู่ที่ 83.25 บาท (1 ธ.ค.2560) และในปีนี้ขยับขึ้นทำจุดสูงสุด105 บาท (8พ.ย.2560) ราคาต่ำสุด 44 บาท (9 ม.ค.2560) ราคาเฉลี่ย 75.27 บาท

สอดคล้องกับผลสำรวจข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า บมจ.เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ มี Market Cap อยู่ที่ 35,225.18 ล้านบาท (1 ธ.ค.2560) ขยับขึ้นจากต้นปีนี้ 18,567.86 ล้านบาท (4 ม.ค.2560) พุ่ง 89.71%

ฉะนั้น หากลองคำนวณกับจำนวนหุ้นที่ “ปัญญา” ถืออยู่กับราคาหุ้น WORK คิดที่ราคาสูงสุดของปีนี้ 105บาท พบว่าจะได้เม็ดเงิน ราว11,340 ล้านบาท” 

เท่ากับว่า เขาใช้เวลาเพียง13ปี สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองได้ถึงระดับหมื่นล้านบาท !!

ปัจจุบันถือว่า หุ้น WORK เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาคึกคักนับแต่งบการเงินไตรมาส2 ปี 2560 ประกาศออกมามีกำไรสุทธิสวยงามสวนกระแสหุ้นในกลุ่มทีวีดิจิทัลที่พาเหรดกัน ขาดทุนเป็นส่วนใหญ่แถมยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่ามีกำไรสุทธิสูงกว่า บมจ. บีอีซี เวิลด์ หรือ BEC  ผู้บริหารการออกอากาศสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และช่อง 33 ช่อง 28 และช่อง 3 Family ในระบบดิจิทัล ของตระกูลมาลีนนท์ ที่เคยครองความยิ่งใหญ่มายาวนานนับทศวรรษ ก็ยิ่งทำให้ทำราคาน่าสนใจยิ่งขึ้น

โดยปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดด” ของเวิร์คพอยท์มาจากรากฐานของคอนเทนต์บันเทิงที่เป็นลายเซ็นของบริษัท ไม่ว่าจะเผยแพร่ทางช่องทางโทรทัศน์ สตรีมมิ่งสด หรือย้อนหลังผ่านออนไลน์ ล้วนมีแฟนติดตามมากมายจนขยับขยายสู่การขายลิขสิทธิ์ไปต่างประเทศ

สะท้อนผ่านผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี (2557-2559) บริษัทมีกำไรสุทธิ 20.82 ล้านบาท 163.66 ล้านบาท และ 198.63 ล้านบาท ขณะที่รายได้ 2,269.85 ล้านบาท 2,468.51 ล้านบาท และ 2,686.30 ล้านบาท ตามลำดับ

---------------------

ทะลวงเป้าหมายโตต่อ” 

เสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG  บอกว่าสำหรับผลประกอบการปี 2560 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 20-25% จากปี 2559 ที่บริษัทมีรายได้ 10,122.15 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,489 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้บริษัทได้บุกตลาดจีนและอังกฤษอย่างหนัก ทำให้ยอดขายในต่างประเทศเติบโตราว 30% จากปีก่อน ส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 50% จากปีก่อนอยู่ที่ 34%

ขณะที่ตลาดในไทย เติบโตได้ไม่มากนักเพียง 10% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัว แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้เน้นการเพิ่มช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ และกระจายสินค้าไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ดีขึ้นได้

แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเราจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมากในการทำการตลาดอย่างหนัก แต่อย่างไรก็ตามบริษัทก็เติบโตได้มากเช่นกัน ทำให้ปีนี้เราเชื่อมั่นว่ารายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และกำไรสุทธิก็เติบโตขึ้นตามการเติบโตของรายได้เช่นกัน

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.บิวตี้คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY บอกเป้าหมายการเติบโตของปี 2560 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปี 2560 จะเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ไม่ต่ำกว่า 3,100 ล้านบาท รวมทั้งรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20%

สะท้อนผ่าน ตัวเลขผลประกอบการงวด 9 เดือน ที่ทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 2,639.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.13% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 821.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.69% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาในประเทศ340 สาขา แบ่งเป็น BEAUTY BUFFET 258 สาขา BEAUTY COTTAGE 73 สาขา BEAUTY MARKET 9 สาขา อีกทั้งยังมีจุดขาย ณ คิงพาวเวอร์8 สาขา22 จุดจำหน่าย และวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้าน 7-ELEVEN จำนวน 950 สาขา

สำหรับ ตลาดต่างประเทศปัจจุบันจำนวนสาขาที่เป็น Independent shop มี19 สาขา โดยอยู่ในประเทศเวียดนาม16 สาขา และในประเทศฟิลิปปินส์ 3 สาขา และมีแผนขยายสาขาในประเทศฟิลิปปินส์เพิ่มอีก 4 สาขา และมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในรูปแบบของ non-exclusive distributor ใน 3 ประเทศ นั่นคือ เมียนมา ลาว และกัมพูชา ล่าสุดแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในเมียนมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนในลาวและกัมพูชาอยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2561

ส่วนสาขาที่เป็น รูปแบบ Shop in shop ปัจจุบันมีอยู่ใน 3 ประเทศ รวม 131 สาขา ประกอบด้วย ฮ่องกง 93 สาขา อินโดนีเซีย 19 สาขา และไต้หวัน 19 สาขา ซึ่งทุกแห่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ในอนาคตล่ะ จะเป็นเช่นในอดีตหรือไม่ ต้องมาคอยติดตามกันดู

ขณะที่ “สุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานบริหารการเงินการลงทุน WORK บอกว่า ปีนี้บริษัทปรับเป้ารายได้เติบโต 3,600-3,700 ล้านบาท จากเดิม 3,400 ล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากเวิร์คพอยท์ ทีวี ประมาณ 3,200ล้านบาท ,โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ180 ล้านบาท และค่าโฆษณาบนออนไลน์ 230 ล้านบาท รวมถึงงานอีเว้นท์ต่าง ๆ อีกราว 120 ล้านบาท

รวมทั้งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทปรับขึ้นค่าโฆษณาเป็น 82,000 บาทต่อนาที จากไตรมาส 2/60 เฉลี่ยอยู่ที่ 75,000 บาทต่อนาที ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2560 ก็มีแผนจะปรับขึ้นค่าโฆษณาอย่างต่อเนื่อง หรือเฉลี่ยไตรมาสละ 5-7% ทำให้ทั้งปีนี้คาดว่าค่าโฆษณาเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่69,000 บาทต่อนาที และมีอัตราการขายโฆษณาเฉลี่ยอยู่ที่ 70%

อีกทั้งในปีหน้าบริษัทมีแผนจะซื้อรายการจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20% ส่วนที่เหลือจะเป็นรายการที่ผลิตเอง

ในครึ่งปีหลังนี้เรามีรายการใหม่เข้ามาอีก 3-4 รายการ เนื่องจากรายการทีวีของช่องที่เติบโตมากขึ้นแล้ว ในครึ่งปีหลังนี้เรายังมีงานอีเว้นท์เหลืออีก 5-6 งาน และ ละครอีก 2 งาน คือ ละครเวทีรองเท้าของพ่อ และทอล์คโชว์