เหยื่อ 'น้ำมนต์' ตุ๋นเเต่งงานโผล่แจ้งความกองปราบ

เหยื่อ 'น้ำมนต์' ตุ๋นเเต่งงานโผล่แจ้งความกองปราบ

เหยื่อ "น้ำมนต์" ตุ๋นเเต่งงานโผล่แจ้งความกองปราบอีกราย ด้าน "ทนายสงกานต์" นำพยานเเวดล้อมให้การตำรวจเพิ่ม 2 ราย

ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทนายความ พร้อมด้วย นายปรเมศร์ นะโส อายุ 36 ปี ผู้เสียหายรายที่ 5 ที่เข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดทาง น.ส.จริยาภรณ์ หรือน้ำมนต์ บัวใหญ่ อายุ 32 ปี ชาวจ.เลย และบิดามารดาของน.ส.จิราภรณ์ หลังร่วมกันก่อเหตุหลอกเอาเงินสินสอดแต่งงาน โดยมี พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป.และ ร.ต.อ.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ พนักงานสอบสวน บก.ป. พร้อมนำเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบไว้เป็นหลักฐาน

นายปรเมศร์ กล่าวว่า ตนได้รู้จักกับน.ส.จิราภรณ์ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 โดยคุยกันผ่านเฟสบุ๊ค ประมาณเดือนกว่า ในระหว่างพูดคุยดูใจกันทาง น.ส.จริยาภรณ์ ก็ได้มาหาตน ที่ จ.ชลบุรี อีกทั้งน.ส.จิราภรณ์ยังพาตนไปดูธุรกิจค้าขายผลไม้อีกด้วย จนกระทั้งคบหากันประมาณ 3 เดือน ก็ถูกชักชวนให้ลงทุนทำธุรกิจค้าผลไม้แก้วมังกร โดยมีการเดินทางไปดูสวนผลไม้ที่ จ.น่าน จากนั้น น.ส.จริยาภรณ์ ก็พูดถึงเรื่องแต่งงาน โดยเรียกสินสอด เป็นเงิน 4 แสนบาท และทองคำน้ำหนัก 3 บาท นอกจากนี้ น.ส.จริยาภรณ์ยังได้พาตนไปหาพ่อแม่ที่บ้านพักย่านคลองสาม ถนนรังสิต-นครนายก จ.ปทุมธานี เกี่ยวกับการจัดงานแต่งงานกัน

นายปรเมศร์ กล่าวต่อว่า ในระหว่างที่ตนได้เตรียมหาเงินเพื่อมาให้สินสอด ซึ่งหามาได้แล้วเป็นจำนวน 2.5 แสนบาท ก็ทยอยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารไปให้ ส่วนกำหนดการแต่งงานนั้นมีขึ้นในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ที่สุดก็ไม่ได้แต่งงานกัน เนื่องจาก น.ส.จริยาภรณ์ ได้คบหาอยู่กับชายอื่น และตัดสินใจแต่งงานกับชายอื่นด้วย โดยอ้างว่าเป็นเพราะตนหาสินสอดมาให้ไม่ครบ หลังจากนั้นก็ติดต่อ น.ส.จริยาภรณ์ ไม่ได้อีกเลย อย่างไรก็ดีตนได้ทวงถามเรื่องเงินสินสอดและทองที่ได้มีการให้ไปก่อนหน้านี้ เพื่อที่จะขอคืนแต่ก็กลับถูกบ่ายเบี่ยง จึงได้แต่ทำใจและไม่กล้าไปแจ้งความเนื่องจากเกรงจะอับอาย

ด้าน นายสงกานต์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่าน.ส.สร้อยเพ็ชร มีการแจ้งความบัตรหาย และมีการเปลี่ยนบัตรประชาชนทุกปี ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง และยังมีการใช้ชื่อ น.ส.สร้อยเพ็ชร เปิดบัญชีธนาคาร ทั้งหมด 3 บัญชี ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาบิ๊กซีเพชรบูรณ์ , ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ จ.ระยอง และ ที่ จ.สระแก้วโดยทางเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ต้องรอผลการตรวจสอบของ ปปง.ซึ่งไม่น่าจะเกินวันที่ 13 กันยายนนี้ ก็จะทราบเส้นทางการเงิน และหลังจากได้ข้อมูลต่างๆ แล้ว ก็จะทำให้ทราบว่าน่าจะมีผู้ใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอีกบ้าง

นอกจากนี้ทางนายสงกานต์ ได้พา น.ส.อาภาภรณ์ โคตรบุดดา อายุ 28 ปี และ น.ส.สุกัญญา ปะระไทย อายุ 30 ปี ทั้งสองเป็น ชาว จ.เลย ซึ่งถูก น.ส.จริยาภรณ์ ซึ่งขณะนั้นทำงานอยู่ในเทศบาลแห่งหนึ่งในจ.เลย หลอกลวงว่าสามารถช่วยเหลือให้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ที่เทศบาลนาแห้ว จ.เลย โดยเสียเงินให้รายละ 1.3 แสนบาท แต่ก็ไม่ได้เข้าทำงานแต่อย่างใด เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อเป็นพยานแวดล้อมเกี่ยวกับพฤติกรรมของน.ส.จิราภรณ์ อีกด้วย เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่เห็นถึงความเชื่อมโยงว่าเหตุใด น.ส.จริยาภรณ์ จึงมาใช้บัตรประชาชนของ น.ส.สร้อยเพ็ชร พาลีวัลย์ และใช้เปิดบัญชีธนาคาร

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจสอบบัตรประชาชนของ น.ส.สร้อยเพ็ชร พบว่า มีการแจ้งหายเพื่อขอทำบัตรใหม่ ทั้งหมด 6 - 7 ครั้ง โดยครั้งแรกได้แจ้งหายไว้ที่ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ส่วนที่เหลือมีการแจ้งหายไว้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เลย ซึ่งในกรณีนี้ถือเป็นข้อพิรุธที่ชุดสืบสวน บก.ป.สืบทราบ โดยหลังจากนี้จะมีการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเชิญตัว น.ส.สร้อยเพ็ชร มาสอบปากคำเพิ่มเติม ส่วนพ่อแม่ของ น.ส.จริยาภรณ์ นั้น ทางชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามตัวเพื่อสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำของ น.ส.จริยาภรณ์ หรือไม่ อย่างไร