ไขรหัสทางโต MGT ผ่านโมเดลขยายสาขา

ไขรหัสทางโต MGT ผ่านโมเดลขยายสาขา

สำรวจต้นเหตุผลกำไรโดดเด่น บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) ครึ่งปีแรกเติบโต 30% ผ่านเจ้าของตัวจริง 'ดร.วิทยา อินาลา' มูฟแผนลงทุนตามความต้องการสินค้า เร่งฝีเท้าเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ผุด 4 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ มูลค่า 16 ล้านบาท

เมื่อ 'อุปสงค์' (Demand) สินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนในแง่ของเศรษฐกิจฟื้นตัว สะท้อนผ่านการลงทุนโครงการเมกะโปรเจคของภาครัฐ การท่องเที่ยวเติบโต เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาค “การผลิตและบริการ” มีอัตราการขยายตัวมากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาชะลอตัว โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมพอลิเมอไรเซชั่น ,สี ,รถยนต์ ,ก่อสร้าง เป็นต้น

ปัจจัย 'บวก' ดังกล่าวยิ่งเป็นการเอื้อให้ บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) หรือ MGT ผู้ประกอบการจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์ประเภทชนิดพิเศษ (Specialty Chemical) สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนเติม (Additive) ในส่วนประกอบหลักเพื่อทำปฏิกิริยาเคมีให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติต้องตามที่ต้องการของลูกค้า โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้น !

'ธุรกิจเคมีภัณฑ์' ถือเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ ซึ่งธุรกิจเคมีภัณฑ์ต้องพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าเป็นส่วนใหญ่ โดยมีตลาดภายในประเทศเป็นแหล่งรองรับสินค้า ฉะนั้น เมื่อความต้องการสินค้าเพิ่ม…? 'เป็นโอกาสให้ MGT สร้างการเติบโตได้อีกมาก' 

ตอกย้ำด้วยหลากหลายฝ่ายประเมินตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ในปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวระดับ '3-3.5%' จากปัจจัยสนับสนุนในเรื่องของการขยายตัวของการท่องเที่ยวในประเทศ การเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐในโครงการต่าง ๆ ซึ่งปัจจัยบวกเหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนความต้องการสินค้าเคมีภัณฑ์ให้มากขึ้นด้วย

สะท้อนผ่าน 'ผลกำไรสุทธิ' ช่วงครึ่งปีแรก 2560 ทำได้ 21.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 16.76 ล้านบาท แม้เข้าเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้เพียง 6 เดือน แต่สร้างผลงาน 'โดดเด่น' ไม่ใช่น้อย....

สาเหตุสำคัญทำให้ MGT มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 30% มาจากการที่บริษัทสามารถเพิ่ม 'อัตรากำไรขั้นต้น' เป็น 27.82% จากไตรมาส 1 ปี 2560 เนื่องจากนโยบายของบริษัทเน้นเรื่องคุณภาพในการให้บริการแบบครบวงจรเป็นหลัก โดยไม่ได้เน้นการแข่งขันเรื่องราคา

'ดร.วิทยา อินาลา' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) หรือ MGT เล่าแผนธุรกิจให้ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ฟังว่า ทิศทางสินค้าเคมีภัณฑ์เริ่ม 'สดใส' ดังนั้น บริษัทจึงวางแผนธุรกิจสอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมด้วยการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และเน้นการทำการตลาดในธุรกิจใหม่ๆ เพื่อผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยแผนธุรกิจของบริษัทจะ “โฟกัส” ขยายฐานลูกค้าผ่านการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับตลาด 'ในประเทศ' บริษัทจัดตั้งสำนักงานสาขาในจังหวัดนครพนมและอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ 6 ล้านบาท (สาขาละ 3 ล้านบาท) โดยคาดว่าไตรมาส 3 ปี 2560 จะเปิดให้บริการได้ จากปัจจุบันบริษัททำตลาดในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในพื้นที่จังหวัดระยอง การขยายตลาดในต่างจังหวัดโดยเฉพาะในนครพนม ซึ่งอนาคตจะเป็นฐานส่งสินค้าเข้าไปในประเทศลาว

'ต่างประเทศ' คาดว่าในปี 2561 เข้าไปลงทุนเปิดสาขาในประเทศ 'เมียนมา-กัมพูชา' เงินลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท (สาขาละ 5 ล้านบาท) โดยเฉพาะการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรในเมียนมา คือ บริษัท เอ็ม จี ที เมียนมาร์ จำกัด จะจัดตั้งเร็วขึ้นเป็นไตรมาส 4 ปี 2560 จากกำหนดเดิมในต้นปี 2561 เนื่องจากความต้องการสินค้าประเภท Finishing Product ในเมียนมาเติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้บริษัทจำเป็นต้องเร่งการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้ทันต่อการรุกตลาดได้เต็มที่ในปีหน้า คาดว่าสัดส่วนรายได้จากเมียนมาประมาณ 5% ของรายได้รวม

บริษัทร่วมทุนดังกล่าวมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท โดย MGT ถือหุ้นในสัดส่วน 51% และพันธมิตรเมียนมา ถือหุ้น 49% ซึ่งบริษัทจะใช้เงินลงทุนในส่วนนี้จำนวน 5 ล้านบาท

ด้านการเจรจาร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศกัมพูชา โดยปัจจุบันกำหนดการจัดตั้งบริษัทและการเริ่มดำเนินธุรกิจได้ยังเป็นไปตามแผนเดิมภายในปี 2561 โดยบริษัทมองว่าธุรกิจเคมีภัณฑ์ในกัมพูชาจะเริ่มทยอยฟื้นตัวขึ้น จึงยังไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องเร่งดำเนินธุรกิจ

'เพื่อเป็นการรองรับความต้องการเคมีภัณฑ์สำหรับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่กำลังปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ'

'ดอกเตอร์' เล่าต่อว่า หลังที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เปิดโอกาสให้บริษัทมองหา 'การซื้อกิจการ' (M&A) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างการเติบโตและเป็นการต่อยอดธุรกิจในอนาคต ฉะนั้น บริษัทจึงศึกษาการซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก โดยกำลังเจรจาอยู่ 1 แห่ง เป็นผู้ประกอบการในประเทศ คาดว่าหากได้ข้อสรุปมูลค่าลงทุนจะอยู่ระดับ “ร้อยล้านบาท”

'การซื้อกิจการจะสร้างมูลค่าเพิ่มและต่อยอดผลิตภัณฑ์รวมทั้งเสริมศักยภาพการขยายตัวในอนาคต ยังช่วยรองรับการทำธุรกิจในประเทศที่จะมีทิศทางดีขึ้น หลังการเลือกตั้งจะทำให้การลงทุนต่าง ๆ เริ่มกลับเข้ามา สนับสนุนให้ความต้องการใช้เคมีภัณฑ์มากขึ้นตามไปด้วย'

สำหรับ เงินลงทุนในการซื้อกิจการ ในเบื้องต้นคาดว่าจะมาจากการกู้ยืมสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทยังมีความสามารถในการกู้ยืมระดับที่สูง เพราะมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ค่อนข้างต่ำที่ 0.8 เท่า รวมถึงยังมีเงินจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ยังมีเหลืออีกบางส่วน และกระแสเงินสดของบริษัทที่ยังเพียงพอรองรับการลงทุนต่าง ๆ

วิเคราะห์แนวโน้มครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก “ดร.วิทยา” บอกว่า มองว่ายอดขายจะมีการเติบโตโดดเด่น โดยตั้งเป้ารายได้ปี 2560 เติบโต 20% จากปีก่อน เนื่องจากในช่วงปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของทุกปี นั้นจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มีการสั่งซื้อสินค้า (ออเดอร์) เข้ามาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทยังได้คู่ค้ารายใหม่จากฝรั่งเศสซึ่งปัจจุบันลูกค้าดังกล่าวก็ได้มีการส่งสินค้าไปแล้ว และคาดว่าจะมีการทยอยสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น

สำหรับภาวะอุตสาหกรรมและการแข่งขัน ในปี 2560 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยสินค้าหลักของบริษัทคือเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนผสมในเคมีภัณฑ์ที่จำเป็นต่อการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในประเทศ ซึ่งบริษัทมีกลุ่มลูกค้าอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมสี อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมพลาสติก เป็นต้น

ดังนั้นปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์ของบริษัทจึงเติบโตตามอุตสาหกรรมดังกล่าว และรวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์มีแนวโน้มมูลค่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเคมีภัณฑ์ สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย

อีกทั้งการที่ 'ค่าเงินบาท' ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทได้รับประโยชน์ในการนำเข้าวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ ซึ่งมีราคาที่ถูกลง แต่ราคาขายยังอยู่ในระดับที่เท่าเดิม ทำให้บริษัทมีส่วนต่างจากราคาขายเพิ่มขึ้น ทำให้มีผลบวกต่อในแง่ของกำไรที่มีทิศทางที่ดี

'ดร.วิทยา' ทิ้งท้ายว่า 'จุดเด่น' ของบริษัทคือการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ทั้งในด้านคุณภาพการบริการ การส่งมอบที่ตรงต่อเวลา และระบบการจัดการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ถือเป็นสิ่งสำคัญให้บริษัทเติบโตได้ในอนาคตได้

'5กุญแจ' ขับเคลื่อนธุรกิจ

'ดร.วิทยา อินาลา' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมกาเคม (ประเทศไทย) หรือ MGT บอกว่า เรียนจบปริญญาตรี สาขาเคมี มหาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ปริญญาโท รัฐประศาสตรมหาบัณฑิต (MPA) สาขารัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และปริญญาเอก มหาวิทยาลัย CEBU DOCTORS ประเทศฟิลิปปินส์

เริ่มต้นทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในอาชีพ 'คอนเซาท์' (Consult) ประมาณ 2-3 ปี ก่อนจะมามาเป็นเจ้าของธุรกิจ 'เมกาเคม (ประเทศไทย)' ในปี 2535 โดยเป็นคนไทยถือหุ้น 51% และสิงคโปร์ 49% ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

โดยบริษัทยึดหลักการเติบโตของธุรกิจผ่านหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ 5 ข้อหลัก นั่นคือ 1.Smart Organization โดยพนักงานของบริษัทต้องเรียนรู้ตลอดเวลา รวมทั้งรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทำให้พนักงานของเรามีขีดความสามารถในการแข่งขันได้ตลอดเวลาทั้งปัจจุบันและในอนาคต

2.Network โดยบริษัทมีเครือข่ายอยู่ใน 6 ประเทศ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนถือว่าเป็นจุดแข็งของบริษัท ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกกำลังสนใจลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน หากเปรียบอาเซียนก็คงเป็นหญิงสาวที่ตอนนี้ความสวย 'ระดับมิสยูนิเวิร์ส' (Miss Universe) ซึ่งคาดว่าปีหน้าบริษัทมีสาขาเกือบครบหมด ยกเว้น ประเทศบรูไนกับลาว

3.Big Data บริษัทมีข้อมูลลูกค้าตลอด 20 ปี เราก็จะใช้ประโยชน์มาเพิ่มรายได้ 4.Solution Provider เราจะให้คำปรึกษา และชี้แนะลูกค้าของ และ 5.Do it Right เราต้องทำการกฎกิติกาให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัททำมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ