ชูธง 'ลักชัวรี มาร์เก็ต' ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพ
การเติบโตของ “นักเดินทาง-นักท่องเที่ยว” ทั่วโลกมีส่วนสำคัญต่อการขยายตัวของ “ลักชัวรี มาร์เก็ต” บริบทของตลาดสินค้าลักชัวรี ยังเป็นหนึ่งดัชนีสะท้อนความแข็งแกร่งของ “ทัวริสต์ เดสทิเนชั่น” ที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยวเพื่อชอปปิง
เกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป ผู้บริหารศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ฉายภาพการเชื่อมโยง 2 ตลาด การท่องเที่ยว และลักชัวรีมาร์เก็ต ยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
“ลักชัวรี มาร์เก็ต” ครอบคลุมกลุ่มสินค้าแฟชั่น ทั้งเครื่องหนัง เครื่องสำอาง เครื่องประดับ นับเป็นตลาดใหญ่มากโดย “ท็อป 100” ของโลก ครองตลาดรวมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและผันแปรอย่างมาก จาก "ความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลก" ซึ่งเกี่ยวเนื่องมาจากหลายปัจจัย อาทิ ภัยก่อการร้าย บริบทนี้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ 3 เสาหลักของโลก ได้แก่ น้ำมัน ทองคำ และ ตลาดหุ้น
“ตลาดการเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดลักชัวรีเปลี่ยนแปลงทั้งหมด รวมทั้งการเปลี่ยนไปของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง”
ปัจจุบัน โกลบอล ลักชัวรี มาร์เก็ต ถูกแบ่งเป็น 2 ตลาดชัดเจน ได้แก่ ตลาดที่ผู้บริโภคมีความพร้อม (Mature market) เป็นตลาดมีความแข็งแรงและสมบูรณ์ เช่น สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น แล ตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) ได้แก่ จีน รัสเซีย ยูเออี
"เวลานี้ทั้งโลกถูกขับเคลื่อนโดยตลาดเกิดใหม่ โดย 3 ประเทศหลักนี้ และมี จีน เป็นตลาดใหญ่สุดสัดส่วน 70%"
“Mature market” ผู้บริโภคจะช้อปลักชัวรีแบรนด์ “ในประเทศ” มากกว่านอกประเทศ หรือช้อปในประเทศสัดส่วน 60% ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ ผู้บริโภคจะช้อปลักชัวรีแบรนด์ในประเทศ 30-40% อีก 60-70% ช้อปต่างประเทศ
ขณะที่ รูปแบบการชอปปิงของทุกคนทั่วโลก คือ “ชอปปิงเมื่อเดินทาง” สะท้อนถึงความสำคัญของ “นักท่องเที่ยวทั่วโลก” ที่ทุกประเทศล้วนจับจ้องตาเป็นมัน!!
ตลาดการท่องเที่ยวและการเดินทาง ล้วนเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ โดยเฉพาะ ทัวริสต์จีน 100-200 ล้านคน พบว่า ในช่วงเวลาเดินทางมีการช้อประหว่างประเทศ 31% ช้อปในดิวตี้ฟรี 16% ที่เหลือช้อปในประเทศ
จะเห็นว่า ทัวริสซึ่มและทราเวล คือ “ตลาดขนาดใหญ่” ของแต่ละประเทศ และบรรดา "ลักชัวรีแบรนด์” ที่จะสร้างรายได้กลับเข้าสู่แบรนด์และประเทศนั้นๆ
รวมทั้ง “ประเทศไทย" วางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศโดย “นักท่องเที่ยว” และ มี “จีน” เป็นตลาดหลัก
ขณะที่ “จีน” เผชิญปัญหาค่าเงินและตลาดหุ้นทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว นโยบาย “ของขวัญประเภทลักชัวรีแบรนด์” เป็นของต้องห้ามสำหรับการให้ ทำให้ปริมาณการขายลดลง ขณะเดียวกัน จีน เริ่มนโยบายลดภาษีนำเข้าลักชัวรีแบรนด์ เพื่อป้องกันประชาชนช้อปต่างประเทศ ซึ่งเดิมสินค้าในจีนสูงกว่าประเทศอื่น 30-40% เมื่อมีการปรับโครงสร้างภาษีลงทำให้ราคาใกล้เคียงกัน
คำถามและปัญหาสำคัญที่ตามมา คือ หลังจากนี้คนจีนจะออกไปช้อปต่างประเทศหรือไม่? แน่นอนว่าเกี่ยวพันถึงความเป็นนักเดินทางและนักช้อปของบรรดาแบรนด์ลักชัวรี
ใน Mature market ซึ่งมีความกว้างและลึกของลักชัวรีแบรนด์ครบสมบูรณ์แบบ ฉะนั้น จะมีกำลังซื้อจากผู้บริโภคในประเทศรองรับส่วนหนึ่ง ไมจำเป็นต้องบินไปช้อปที่อื่น แต่ Emerging market สินค้าไม่ครบและไม่สมบูรณ์ แน่นอนว่ามีฐานผู้บริโภคในประเทศเพียง 30-40% อีก 60-70% พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ
“ยกตัวอย่าง เครื่องสำอางบางแบรนด์ในไทย ช่วงหนึ่ง ตะวันออกกลางบินมาซื้อจำนวนมากเหมือนทีวี พอวันหนึ่งตะวันออกกลางมีเครื่องสำอางแบรนด์นี้ก็เลิกซื้อที่ไทย นี่คือการเปลี่ยนแปลงของตลาด”
แม้ Emerging market จะเป็นตลาดเกิดใหม่และอนาคตของลักชัวรีแบรนด์ แต่ในเชิงยุทธศาสตร์ประเทศไม่มีพลังเพียงพอที่จะดึงนักท่องเที่ยวเพื่อการชอปปิงเข้ามาจับจ่ายได้มากเทียบเท่า
Mature market อย่าง ปารีส โรม มิลาน ลอนดอน ที่ล้วนมีสินค้าครบถ้วนที่ประเทศอื่นไม่มีเป็นแม่เหล็กดึงผู้คนต้องการมาเยือนทั้งท่องเที่ยวและชอปปิง
ไทยในฐานะ Emerging market ของลักชัวรีแบรนด์ แต่มีความได้เปรียบของฐานนักท่องเที่ยวกว่า 30 ล้านคนและจะขยับขึ้นเป็น 50 ล้านคนในไม่ช้า จะเป็นต้องวางแนวทางเติบโตคู่ขนานเพื่อสร้างร่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพจากการเติบโตควบคู่กัน ของทั้ง 2 ตลาด นักท่องเที่ยวและลักชัวรีมาร์เก็ต
“หากอัพเกรดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พักผ่อน ให้ประเทศไทยเป็นชอปปิงเดสทิเนชั่นของโลก สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ชาวไทยจะไม่เดินทางออกไปช้อปต่างประเทศ และไม่เสียดุลให้ต่างประเทศ เช่นเดียวกับประเทศจีนกำลังทำ”
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทยหากมีการขับเคลื่อนมาตรการทางด้านภาษีนำข้าสินค้าลักชัวรีอย่างจริงจังเพื่อผลักดันให้เป็นแหล่งชอปปิงสำคัญของเอเชีย รายได้ต่างๆ ที่จะได้รับจากนักท่องเที่ยวคุณภาพ จะนำไปสู่ธุรกิจท่องเที่ยวทั้งหมด จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ รวมถึงรายได้ภาคประชาชน
เกรียงศักดิ์ กล่าวต่อว่า มูลค่าตลาดโลกของลักชัวรีแบรนด์ ปีนี้ คาดการณ์ 2.89 แสนล้านดออลาร์ ในปี 2563 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.9 แสนล้านดอลลาร์
ปีนี้ตลาดลักชัวรี กำลัง “พีคอัพ” โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลุ่ม แอลวีเอ็มเอช ซึ่งมี 20-30 แบรนด์ในพอร์ต โดยหลัก อาทิ หลุยส์วิตตอง ซีลีน เฟนดิ คริสเตียน ดิออร์ ฯลฯ ทำยอดขาย 9,900 ล้านยูโร เติบโตกว่า 15% ขณะที่ เคอริ่ง เจ้าของแบรนด์กุชชี่ อีฟแซงต์ โลรองต์ ฯลฯ มียอดขาย 3,500 ล้านยูโร เติบโตกว่า 35%
“2 กลุ่มนี้เป็นอินเด็กซ์ที่บอกว่าปี 2017 ตลาดลักชัวรีกลับมาเติบโต แต่ความท้าทาย คือ การเปลี่่ยนแปลงของโลก จะทำให้ยอดขายและแบรนด์เหล่านี้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ และลูกค้าอย่างไร”
สำหรับตลาดลักชัวรีในไทย คาดการณ์เติบโต 2% โดยกลุ่มสปอร์ต เติบโตมากสุด 6-7% เครื่องหนัง 4-5% ไฮบริด เช่น เอฟแอนด์เอ็ม ซาร่า ฯลฯ เติบโต 3-4% กลุ่ม affordable luxury เติบโต 3-4% นาฬิกา เพชร และจิวเวลลี่ เติบโต 2-3%
ไทยต้อง "ปลดล็อกภาษี"
ประเทศทั่วโลกมุ่งสร้างจุดขาย “ชอปปิงพาราไดซ์” ด้วยนโยบาย “ดิวตี้ฟรี” ขณะที่ “ไทย” มีศักยภาพสูงรอบด้านพร้อมที่จะก้าวสู่ “ฮับท่องเที่ยวของเอเชีย” เพราะมีทุกสิ่งที่ “นักท่องโลก” ชื่นชอบสามารถท่องเที่ยวได้ทั้งภาคกลางวันและกลางคืน ไทยมีความ “เฟรนด์ลี่” ที่นักท่องเที่ยวชอบมากควบคู่ไปกับภูเขา ทะเล วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา เมดิคัลฮับ เลเชอร์ เอนเตอร์เทนเมนท์ โรงแรม สายการบิน เรียกว่า มีทุกสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการได้เปรียบเพื่อนบ้านมหาศาล
“หากปลดล็อกภาษีได้ ไทย จะเป็นดวงดาวที่ส่องบนท้องฟ้าทันที เราเสียโอกาสมา 20 ปี ค่อนข้างสายมาก ถ้ากดปุ่มได้จะทำให้ทุกอย่างเติบโตอย่างก้าวกระโดด”
คำถามสำคัญและเป็นโจทย์ใหญ่เวลานี้ คือ ภาพลักษณ์ประเทศไทยอยู่อันดับไหนของเอเชียในความเป็น “ทัวริสต์ เดสทิเนชั่น” นอกจากนี้ ไทยยังไม่ติด “ท็อป 10 ชอปปิง เดสทิเนชั่น" นักท่องเที่ยวไม่ได้มาเมืองไทยเพื่อช้อป!! ทั้งๆ ที่โครงสร้างพื้นฐานในเชิงสินค้าและบริการครบถ้วนสมบูรณ์
ไทยต้องเร่งบูรณาการ หากมองว่าการเปิดเสรีดิวตี้ฟรีมีผลกระทบธุรกิจภายในประเทศ ก็ต้องพิจารณาลดภาษีวัตถุดิบให้ผู้ประกอบการควบคู่กัน เพื่อสามารถพัฒนาสินค้าให้ดียิ่งขึ้น นำสู่การดึงดูดลูกค้าที่มีระดับเข้ามาซื้อ
ในบริบทของโลกที่กำลังขับเคลื่อนด้วย “นักท่องเที่ยว” ไทยจำเป็นต้องเร่งมือ... ช้าไม่ได้อีกต่อไป เพราะจะจำกัดตัวเองอยู่เพียง “่ไทยช้อปไทย” ขณะที่เพื่อนบ้านในเอเชีย ทั้งเกาหลี ไต้หวัน ดูไบ ล้วนขยับปรับตัวกันทั้งสิ้น รองรับ “นักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นรายได้พิเศษที่ไม่ต้องลงทุน”
จะเห็นว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจในหลายประเทศทั่วโลกกระทบการบริโภคในประเทศ ทำให้ต่างหันพึ่งรายได้จากนักท่องเที่ยว แน่นอนว่า ทำให้สถานะไทยมีคู่แข่งทางการท่องเที่ยวระดับโลก “ทุกประเทศ” โดยเฉพาะการช่วงชิงนักท่องเที่ยวจีนกว่า 200 ล้านคน ที่มีพัฒนาการและการท่องเที่ยวยกระดับดีขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งดี การใช้จ่ายยิ่งสูงในทุกด้าน
จากเสน่ห์ของประเทศไทยที่ไม่มีใครเหมือน ภาพการหลั่งไหลของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสู่ไทยทะลุ 50 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องยาก แต่จะดึงนักท่องเที่ยวระดับบน ที่สามารถสร้างรายได้อย่างรวดเร็วมาได้อย่างไร
นับเป็นอีกวาระเร่งด่วนของรัฐบาลต้องปลดล็อกภาษี พร้อมๆ กับการส่งเสริมมาตรการฟรีวีซ่าอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง บูรณาการแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นสมบัติชาติ เพื่อคงความเป็นแหล่งท่องเที่ยวของโลก
บิดกุญแจดอกเดียวจะเป็นกลไกให้ประเทศเดินหน้า โอกาสของไทย ไม่ใช่แค่นักเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว แต่ต่อยอดเชื่อมโยงไปถึงโอกาสการลงทุนของ "นักลงทุนในคราบนักเดินทาง"