“เครือบางปะกอก”เล็งรุกศูนย์สุขภาพรับเทรนด์สูงวัย

“เครือบางปะกอก”เล็งรุกศูนย์สุขภาพรับเทรนด์สูงวัย

โรงพยาบาลเครือบางปะกอกจ่อรุกธุรกิจเฮลธ์แคร์ ดูแลผู้สูงวัย เล็งทำเลเชียงใหม่ คาดได้ข้อสรุปปีหน้า ใช้งบลงทุน 200 -300 ล้าน  กางแผน “รพ.ปิยะเวท” หลังซื้อหุ้นกลุ่มกระทิงแดง ปรับปรุงอาคาร เพิ่มเตียง ตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต20% แตะ1,640 ล้าน

แพทย์หญิงเจรียง จันทรกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มโรงพยาบาลในเครือบางปะกอก เปิดเผยว่า โรงพยาบาลในเครือฯ มีแผนจะเปิดศูนย์สุขภาพ(เฮลธ์แคร์)สำหรับดูแลผู้สูงวัย รองรับสังคมผู้สูงวัยที่ขยายตัวมากขึ้น

โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตดีและมีอายุยืนยาวมากขึ้น ซึ่งมีแผนจะเปิดศูนย์เฮลธ์แคร์ในช่วง 1 - 2 ปีจากนี้ เจาะทำเลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

เบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาพื้นที่ใน จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนที่เชียงใหม่ ซึ่งอาจตั้งห่างจากตัวเมือง 20 กิโลเมตร คาดว่าจะได้ข้อสรุปและก่อสร้างในปี2561 คาดว่าจะใช้งบลงทุนกว่า 200 – 300 ล้านบาทในการพัฒนาพื้นที่กว่า 10 ไร่ ส่วนโครงการเฮลธ์แคร์ในกรุงเทพฯ มองว่าอาจจะขยายไปกับสาขาต่างๆของโรงพยาบาลในเครือ เช่น โรงพยาบาลบางปะกอก1 และโรงพยาบาลบางปะกอก9 ที่ยังมีที่ดินเหลืออยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล

“ตอนนี้มีที่ดินแล้วบางส่วนแต่ยังรอสำรวจสถานที่อื่นๆเพิ่มเติมและกำลังศึกษาโมเดลการสร้างโครงการดูแลผู้สูงวัยจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐ”

นายแพทย์วิทิต อรรถเวชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า ภายหลังจากที่กลุ่มกระทิงแดงขายหุ้นโรงพยาบาลปิยะเวทให้กับโรงพยาบาลในเครือบางปะกอก เมื่อปี2559 โรงพยาบาลปิยะเวทได้เดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารงานในเชิงรุก รองรับการให้บริการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ โดยวางงบลงทุนในปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับการปรับปรุงพื้นที่ภายในโรงพยาบาลปิยะเวท รวมถึงงบซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มเติม

ทั้งนี้ จะเปิดพื้นที่หอพักผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยไร้ญาติ ทำให้มีจำนวนเตียงเพิ่มขึ้นจาก 150 เป็น 200 เตียง รวมถึงเปิดศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการต่างชาติมากขึ้น โดยมีแผนจะเปิดศูนย์ข้อมูลที่เมืองกวางโจว ประเทศจีนในเดือน พ.ค.นี้ จากปัจจุบันที่มีศูนย์ข้อมูลแล้วในย่างกุ้ง เมียนมา, มัสกัต โอมาน และเอธิโอเปีย รวมถึงกำลังจะพิจารณาขยายศูนย์ข้อมูลเพิ่มเติมในเคนย่า 

นอกจากนี้ ปีนี้ยังมีแผนเปิดตัวคลินิกในต่างประเทศ อีก 2 แห่ง ในแอฟริกา และตะวันออกกลาง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยในปัจจุบันได้เข้าไปเปิดคลินิกแล้วที่โอมาน ใช้งบลงทุน 30 ล้านบาท และเมียนมา ใช้งบลงทุนราว 10 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งเป้าหมายจะมีรายได้รวมในปีนี้อยู่ที่ 1,640 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 กว่า 10% โดยในปัจจุบันมีสัดส่วนผู้ใช้บริการไทยและต่างชาติใกล้เคียงกัน

พร้อมกันนี้ ยังชูจุดเด่นศูนย์บริการต่างๆ 4 ศูนย์ เพื่อสร้างความมั่นใจให้มีผู้ใช้บริการมากขึ้น ประกอบด้วย ศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ศูนย์บริการผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการชาวตะวันออกกลางมากสุด รองลงมา คือ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสแกนดิเนเวีย นอกจากนี้ ยังมีศูนย์รักษาแผลที่เท้าโรคเบาหวาน ที่ปัจจุบันดูแลผู้ป่วยมีอัตราการศูนย์เสียอวัยวะแทบเป็นศูนย์ และศูนย์ทารกแรกเกิดและปริกำเนิด