Daily Market Outlook (18 เม.ย.60)

Daily Market Outlook (18 เม.ย.60)

ความกลัวจะเกิดสงครามลดลง

คาดหุ้นไทยดีดกลับวันนี้หลังร่วงแรงเมื่อวานจากการเข้าเก็บหุ้นถูกบางส่วน จากการที่หุ้นสหรัฐปิดบวกแรงเมื่อคืนหลังจากที่ไม่มีการใช้กำลังทหารตอบโต้กันอย่างที่กลัวกัน อย่างไรก็ตามความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศยังจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยที่รองประธานาธิบดีสหรัฐ Mike Piceเตือนเกาหลีเหนืออย่าทดสอบความเด็ดขาดของประธานาธิบดี Trump แต่เกาหลีเหนือโต้กลับว่าจะทดลองยิงขีปนาวุธอีก ปัจจัยบวกเพิ่มเติมเศรษฐกิจจีนขยายตัวดีเกินคาด 6.9% ในไตรมาส 1/60 ย้ำว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวดี ภายในประเทศสภาพัฒน์คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/60 จะขยายตัวดีกว่าในไตรมาสที่แล้ว

หุ้นเด่นวันนี้: ADVANC (ราคาปิด 175.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 188.00 บาท)

เราเลือก บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสเป็นหุ้นเด่นวันนี้เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพ ทำให้มีปันผลตอบแทนที่ยังดีมาทุกปี คุณลักษณะนี้เหมาะกับในช่วงที่มีความเสี่ยงสูงจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศซึ่งทำให้ตลาดผันผวนในช่วงนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทเป็นผู้นำในกลุ่มโทรคมนาคมโดยเฉพาะในแง่จำนวนเลขหมายมือถือและต้นทุนการกำกับดูแลที่ต่ำกว่า การได้ใบอนุญาต 900 และ 1800 เมกะเฮิร์ตซ์มาทำให้ ADVANC มีแบนด์วิธของคลื่นเหลือเฟือที่จะบริการลูกค้าให้ดีสำหรับ 3-5 ปีหน้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและช่วยให้ก้าวเข้าสู่ตลาด 4จีได้อย่างสะดวก ไม่เพียงแต่ธุรกิจบรอดแบนด์ที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตของบริษัทแต่ยังมีบริการเสริมที่จะส่งเสริมรายได้สม่ำเสมอเช่นการถ่ายทอดช่องรายการ การเป็นพันธมิตรกับ HBO ทำให้สามารถถ่ายทอดเนื้อหาทั้งหมดของ 6 ช่อง HBO และยังมี FOX network และ NBA ไม่เพียงทำให้เกิดแหล่งรายได้ใหม่ค่าสมาชิก แต่ยังหนุนการใช้งานและรายได้ทั้งธุรกิจบรอดแบนด์ตามสายทั้งบริการมือถือ และทำให้เกิดการใช้ร่วมกันระหว่างทั้งสองบริการ (convergence) ตัวเลขที่ออกมาแล้วก็ชี้ว่ารายได้จากบริการข้อมูลก็เติบโตถึงสองหลักมาเป็นปีๆ เพราะความนิยมในเครือข่ายสังคมออนไลน์และการรับชมวีดิโอในประเทศไทย เราคาดว่ากำไรอาจร่วงไปก่อน 13% ปี 60 เพราะค่าใบอนุญาตที่พึ่งเข้ามา แต่น่าจะกลับมาพุ่ง 23% ในปี 61 เพราะการประหยัดต่อขนาดและอุปสงค์ความต้องการใช้บริการสูงขึ้น คาดปันผลตอบแทนที่ยังน่าสนใจที่ 3.8% Price Pattern ของ ADVANC มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลางจากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal รอเพียงการเปลี่ยนแนวโน้มหลักไปสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างชัดเจนเมื่อกลับมาเกิด Monthly Buy Signal ครั้งใหม่ ซึ่งยังอาจต้องใช้เวลาอีกสักพัก เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ ADVANC ที่สามารถ Break เป้าหมายแรกที่ 173 บาทไปแล้ว จึงมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 199 บาท ทั้งนี้ ADVANC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 170.50 บาท (แนวต้าน: 175.50, 176.00, 177.00; แนวรับ: 174.50, 173.50, 173.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• เศรษฐกิจไตรมาส 1/60 คาดโตกว่าไตรมาส 4/59 เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยข้อมูลเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนแรกของปี 60 แสดงแนวโน้มที่ดีกว่าช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. ปีที่แล้ว ทำให้มองว่าเศรษฐกิจไตรมาส 1/60 จะโตกว่า 3% ในไตรมาส 4/59 หนุนโดยการส่งออกที่ดีขึ้น ราคาพืชทางการเกษตรที่ฟื้นตัว การบริโภคภาคเอกชนที่สูงขึ้น และภาคท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น โดย สศช. จะประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 1/60 ในวันที่ 15 พ.ค. (Bangkok Post)

• รฟม. (MRTA) มีเป้าหมายที่จะเซ็นสัญญาก่อสร้างในต้นเดือนหน้าสำหรับรถไฟฟ้าสายหลัก 2 สาย คือสายสีเหลือง ระยะทาง 30.4 กม. ลาดพร้าว-สำโรง มูลค่าประมาณ 52 พันล้านบาท และสายสีชมพู ระยะทาง 34.5 กม. (53.5 พันล้านบาท) เส้นทางแคราย-มีนบุรี (บางกอกโพสต์) ความเห็น: เส้นทางรถไฟฟ้าทั้งสองนี้ กลุ่มบริษัท BSR Joint Venture โดย BTS (ถือหุ้น 75%), STEC (15%) และ RATCH (10%) เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดโดยไม่มีคู่แข่ง เราคาดว่า STEC จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากสัญญาก่อสร้างงานโยธาเข้ามาเป็น Backlog ขณะที่กลุ่มร่วมทุน BSR อาจมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงและคาดว่าจะสามารถไปถึงจุดคุ้มทุนในเวลาราว 10 ปีข้างหน้า เราแนะนำ "ถือ" STEC (ราคาปิด 24.70 บาท; ถือ; AWS TP28.00 บาท) แต่เรายังมองผลประโยชน์ทางอ้อมจะตกกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และผู้รับเหมาช่วง เช่น PYLON (12.80 บาท) และ SEAFCO (11.80 บาท) เป็นผลประโยชน์ที่ดีกว่าผู้รับประโยชน์ทางตรง

• เตรียมประมูลคลื่น 1800 และ 850 เมกะเฮิร์ตซ์ ก.พ. ปี 61 เจ็ดเดือนก่อนที่สัมปทานจะหมดอายุ มีแบนด์วิธ 45 เมกะเฮิร์ตซ์สำหรับคลื่น 1800 เมกะเฮิร์ตซ์และแบนด์วิธ 10 เมกะเฮิร์ตซ์สำหรับคลื่น 850 เมกะเฮิร์ตซ์ ผู้บริหาร กสทช. จะเตรียมกระบวนการประมูลตั้งแต่เดือนหน้า กสทช. ระบุว่าราคาตั้งต้นประมูลคลื่นจะอิงราคาชนะประมูลของคลื่น 1800 และ 900 เมกะเฮิร์ตซ์ที่ประมูลไปเมื่อปี 58 (Bangkok Post) ความเห็น: ข่าวดีคือแผนการประมูลชัดเจนขึ้นทำให้ผู้ประกอบการวางแผนธุรกิจได้ โดยเฉพาะ DTAC (42.75 บาท, ขาย, ราคาเป้าหมาย 31 บาท) อย่างไรก็ดีหากราคาตั้งต้นอิงการประมูลครั้งก่อนก็จะทำให้ต้นทุนสูงสำหรับ DTAC และผู้ที่จะเข้ามาใหม่ นับว่าเป็นการดีสำหรับ ADVANC (175 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 188 บาท) และ TRUE (6.55 บาท) เพราะคู่แข่งจะต้องแบกภาระต้นทุนมากพอๆ กันแลกกับคุณภาพเครือข่ายที่ดี

• WHA (ราคาปิด 3.08 บาท) กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยกับกลุ่มอาลีบาบาที่ต้องการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาเมืองอุตสาหกรรม อี-คอมเมิร์ซ หรือ Fifth Generation ในประเทศไทย โดยที่ดินที่กลุ่มอาลีบาบาต้องการซื้อจะอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชระยองและสมุทรปราการ (Bangkok Post)

ต่างประเทศ:

• ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นประเด็นที่จับตามอง โดยนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐเตือนเกาหลีเหนือว่าอย่าท้าทายการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เขายืนยันว่ายุคแห่งการใช้ความอดทนกับเกาหลีเหนือได้จบสิ้นแล้ว(Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น จึงลดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีรายงานว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์มีแนวโน้มที่จะแต่งตั้งประธานเฟดที่เป็นมิตรกับธนาคารในการกำกับดูแล อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.252% หลังจากลดลงสู่ระดับ 2.198% เมื่อคืนก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 17 พ.ย. (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบกับเงินเยนเมื่อวันจันทร์ หลังจากนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐกล่าวว่าค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่งจะเป็นสิ่งที่ดีในระยะยาว แต่ดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ เนื่องจากปัญหาความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสู่ระดับสูงสุดในรอบวันที่ 109.05 เยน หลังจากที่ Financial Times ระบุว่านายมนูชินกลบเกลื่อนการให้สัมภาษณ์ของประธานาธิบดีทรัมป์กับหนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งทรัมป์ได้กล่าววว่าดอลลาร์สหรัฐกำลังแข็งค่ามากเกินไป (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันจันทร์เนื่องจากนักลงทุนหันเหความสนใจจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์สู่รายงานผลประกอบการของบริษัทต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงเหตุการณ์ปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นต่าง ๆ ปรับตัวขึ้นในวงกว้างนำโดยกลุ่มธนาคารและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ที่แข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารที่ประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนและความคาดหวังเพิ่มขึ้นว่าผลการดำเนินงานโดยรวมจะออกมาแข็งแกร่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น (Reuters)

• กำไรของบริษัทใน S&P500 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10.4% ในไตรมาส 1/60 ซึ่งเป็นการเติบโตในระดับสองหลักเป็นครั้งแรกนับแต่ไตรมาส 3/57 จากข้อมูลของ Thomson Reuters I/B/E/S (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดยุโรปส่วนใหญ่ปิดทำการในวันจันทร์เนื่องในวันหยุดอีสเตอร์ (Reuters)

เอเชีย:

• เศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.9% YoYในไตรมาส 1/60สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 6.8% และสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/58 โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและตลาดที่อยู่อาศัยที่มีแนวโน้มที่จะร้อนมาก ยอดผลิตในโรงงานของจีนเพิ่มขึ้น 7.6% YoYในเดือนมี.ค. ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น 9.2% ในไตรมาส 1/60 ซึ่งเป็นไปตามคาด (Reuters)

• จีนย้ำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการใช้ระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ จีนคัดค้านระบบรักษาความปลอดภัย (THAAD) และกระตุ้นให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ขณะที่นาย Hwang Kyo-ahnรักษาการประธานาธิบดีเกาหลีใต้ และเข้าพบรองประธานสหรัฐฯ นาย Mike Pence ในวันจันทร์ เพื่อยืนยันแผนการการใช้งานของระบบนี้ (Reuters)

• ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในวันจันทร์ แม้ว่า GDP จะดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาส 1/17 เนื่องจากนักลงทุนได้ทิ้งหุ้นทั่วกระดานหลังจากที่หน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ชั้นนำของประเทศกล่าวว่าจะลงดาบเพื่อต่อสู้กับพฤติกรรมการซื้อขายที่ไม่เหมาะสมในตลาด (Reuters)

• ญี่ปุ่น: ผู้ว่าการ BOJ นาย Haruhiko Kuroda กล่าวในวันจันทร์ว่าธนาคารกลางจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินที่ง่ายและคล่องตัวขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อยังคงห่างไกลจากเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% โดย BOJ จำเป็นต้องติดตามราคาผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดเพราะขาดแรงหนุนให้ไปต่อ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบลบวันจันทร์ เพราะการซื้อขายยังเบาบางหลังวันหยุดยาวอีสเตอร์ และมีข่าวว่าสหรัฐจะเพิ่มการผลิตน้ำมันหินดานเพิ่ม มีการขายทำกำไรหลังบวกมาแล้วสามสัปดาห์ น้ำมันดิบ Brent ลบ 53 เซนต์ปิด 55.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐลบ 53 เซนต์ปิด 52.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำย่อลงจากจุดสูงสุดรอบห้าเดือนวันจันทร์ เพราะผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐดีขึ้นและดอลลาร์ฟื้นออกมาจากจุดต่ำสุด หลังการเมืองตึงเครียดในเกาหลีเหนือทำให้มีความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.05% ปิด 1,285.86 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังแตะจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ต้น พ.ย. ที่ 1,295.42 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)