'บลจ.กรุงศรี' ชูหุ้นญี่ปุ่น-สหรัฐโดดเด่น 

'บลจ.กรุงศรี' ชูหุ้นญี่ปุ่น-สหรัฐโดดเด่น 

ชู "ตลาดหุ้นญี่ปุ่น-สหรัฐ" โดดเด่น บลจ.กรุงศรี แนะหาจังหวะซื้อ-ประเมินแนวโน้มเยนอ่อนค่าหนุนกำไรบจ.ญี่ปุ่นเพิ่ม

บลจ. กรุงศรี คาดนักลงทุนต่างชาติและสถาบันทยอยเข้าซื้อในตลาดหุ้นญี่ปุ่นปีนี้ 19 ล้านล้านเยน และมองแนวโน้มเงินเยนอ่อนค่าอีก 10 เยนต่อดอลลาร์ หนุนกำไร บจ.ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 7-8% มั่นใจดัชนีไม่ต่ำกว่า 20,000 จุด หากย่อตัวเหลือ 18,600 จุดแนะเข้าซื้อ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐรับรู้ปัจจัยล่วงหน้า หาจังหวะทยอยลงทุนบางส่วน หากย่อตัวไม่เกิน 4%

น.ส.ฉัตรแก้ว เกราะทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (KSAM) กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบัน ยังมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) ในปีนี้ยังมีเติบโตได้อีก 4% จากจำนวนเม็ดเงินประมาณ 19 ล้านล้านเยน ที่มาจากการซื้อหุ้นคืนของบจ. ญี่ปุ่นประมาณ 5.5 ล้านล้านเยน รวมถึงการซื้อหุ้นในตลาดของบีโอเจ ประมาณ 6 ล้านล้านเยน และกองทุนบำเหน็จบำนาญของญี่ปุ่น อีกประมาณ 5.5 ล้านล้านเยน ที่จะทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดญี่ปุ่น

โดยในปีนี้ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสปรับขึ้นถึง 20,700 จุด ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นหรือค่า P/E ที่ 19 เท่า จากปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 19,100 จุดพีอีที่ 17.8-17.9 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตอยู่ที่ 17.6-17.7 เท่า ทั้งนี้หากดัชนีปรับลงมาที่ 18,600 จุด  พีอี 17.5-17.6 เท่า จึงมองว่าระดับราคาปัจจุบันเป็นจังหวะที่ลงทุนได้ โดยยังมีโอกาส (up side) ปรับเพิ่มขึ้น 9%

“ส่วนมูลค่าของตลาดหุ้นญี่ปุ่นในปัจจุบัน ที่ซื้อขายกันด้วยระดับ พีอี 17.8 เท่า แม้จะอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเล็กน้อย แต่ก็ยังคาดหวังโอกาสขยับขึ้น (upside) ได้ เพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่นเคยซื้อขายที่ พีอีสูงสุดถึง 19 เท่า ปัจจุบันจึงน่าสนใจลงทุน และหากดอกเบี้ยสหรัฐยังขึ้นแต่ดอกเบี้ยญี่ปุ่นยัง 0% ยิ่งหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นด้วย”

ประเด็นสำคัญทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจ คือ การอ่อนค่าของสกุลเงินเยน ซึ่งสัมพันธ์กับตลาดหุ้นญี่ปุ่น ในทิศทางที่เป็นขาขึ้น รวมถึงการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ก็ยังเป็นปัจจัยบวกต่อบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นเช่นกัน ทำให้กำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสถิติแล้ว เงินเยนอ่อนค่า 10 เยนต่อดอลลาร์จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 7-8% ดังนั้น ทิศทางเงินเยนที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่า ก็จะเป็นบวกต่อหุ้นญี่ปุ่นมากขึ้น

"ปัจจุบันค่าเงินเยน 110 เยนต่อดอลลาร์ กำไรบริษัทจดทะเบียน เติบโต 8.6% หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทำให้เยนอ่อนค่าไปถึง 120 เยน ต่อดอลลาร์ หนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตไปถึง 16.3% ขณะที่ถ้าเยนแข็งค่าที่ 100 เยนต่อดอลลาร์

กำไร บริษัทจดทะเบียนจะไม่เติบโตหรือไม่ขาดทุน แต่ในปีนี้เยนคงไม่แข็งระดับนี้แน่นอน โดยมุมมองในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ตลาดยังมองว่า เยนยังมีแนวโน้มอ่อนค่ามากกว่า ไปถึง 117-119 เยน"

นอกจากนี้ ปัจจุบันพื้นฐานเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากนโยบาย อาเบะโนมิกส์ ที่เริ่มเห็นผลมากขึ้น โดยเฉพาะตัวเลขเงินเฟ้อ ที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของธนาคารกลางญี่ปุ่นที่ต้องการเห็นตัวเลขในระดับ 2%

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ นายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายลงทุนทางเลือก บลจ.กรุงศรีมองว่า นอกจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญสำหรับสหรัฐแล้ว นโยบายของทรัมป์เองก็เป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้สหรัฐน่าสนใจมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีจาก 35% ลงมาเหลือ 15% ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐมีกำไรมากขึ้น รวมถึงจะดึงให้ธุรกิจในต่างประเทศ หันกลับมาลงทุนในประเทศมากขึ้น

และแม้ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐจะรับรู้ปัจจัยเหล่านี้ไปพอสมควรแล้ว จนทำให้ราคาหุ้นบวกขึ้นมาต่อเนื่อง ด้วย พีอี ปัจจุบัน ที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 18 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 17 เท่า แต่บลจ.กรุงศรีเชื่อว่าด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และกำไรบริษัทที่จะโตได้สูงขึ้น จึงมีโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะซื้อขายที่ระดับ พีอี ที่สูงขึ้นได้ หรือขยับขึ้นไปที่ประมาณ 20 เท่า

บลจ.กรุงศรียังแนะนำว่า จังหวะนี้ เป็นจังหวะที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐได้ เพราะหากมอง มีโอกาสปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบัน บริษัทคาดเอาไว้ประมาณ 4% เท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นจังหวะที่ทยอยลงทุนได้บางส่วน แล้วค่อยหาจังหวะลงทุนเพิ่ม หากมีการย่อตัวลงมา