TKN - ซื้อ

TKN - ซื้อ

โตไวในต่างแดน

ประเด็นการลงทุน

เราเริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อ TKN ด้วยราคาเป้าหมายปี 60 อยู่ที่ 30.75 บาท เราชอบโอกาสการเติบโตของกำไร ซึ่งหนุนโดยการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบัน PER ปี 60 อยู่ที่ 34 เท่าซึ่งอาจจะดูสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 25 เท่า แต่เราเชื่อว่า PER ระดับนี้ยังไม่สูงจนเกินไป เนื่องจากบริษัทมีอัตราการเติบโตสูงถึง 33% ต่อปีในช่วงอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 26% ต่อปี ดังนั้น PEG ของบริษัทจึงอยู่เพียง 1.04 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ณ ระดับราคาปัจจุบันยังมีอัพไซด์ถึงราคาเป้าหมาย 17%

ตลาดส่งออกที่แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมายอดการส่งออกของ TKN เติบโตขึ้นอย่างเด่นชัดโดย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) อยู่ที่ 38.4% ต่อปี ส่งผลให้สัดส่วนยอดขายในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นเป็น 59% ของยอดขายรวม ในปี 59 จาก 32% ในปี 55 โดยในปีนี้ TKN ตั้งเป้าที่จะบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งเราคาดการณ์ว่าในช่วงระยะเวลา 3 ปีนับจากนี้ยอดขายในตลาดต่างประเทศจะโตเฉลี่ย 32% ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก การขยายตัวของตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่และมีโอกาสในการเติบโตสูง ยอดขายของประเทศอินโดนีเซียที่กลับมาเติบโตอีกครั้ง และการขยายตลาดเข้าไปในอเมริกาเพื่อสนับสนุนการเป็นแบรนด์ระดับโลก

ตลาดในประเทศยังโตได้อีกมาก

ความต้องการบริโภคสาหร่ายยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง สะท้อนผ่านมูลค่าตลาด สาหร่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.4% ในปี 59 แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ ยอดขายของ TKN ปรับตัวสูงขึ้นถึง 12.2% ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 66.2% ในปี 59 จาก 61.5% ในปี 58 และมีแนวโน้ม ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในปี 60 เนื่องจากยอดขายยังคงมีทิศทางเพิ่มขึ้น
อย่างต่อเนื่อง โดยจะเติบโต 9% ในปี 60 และ ปี 61 เนื่องจากการบริโภคสาหร่ายภายในประเทศยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว และ การใช้กลยุทธ์ทางการตลาด แบบ 360 องศา ซึ่งเป็นการทำการตลาดโดยใช้ช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์รวมถึงการสนับสนุนคอนเสิร์ตเพื่อกระตุ้นยอดขาย

อัตรากำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่อง

สิ่งที่ดูน่าตื่นเต้นมากกว่าการเติบโตของยอดขายคือการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรสุทธิซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 16.6% ในปี 59 เป็น 18.5% ในปี 60 และ 19.5% ในปี 61 เนื่องจาก 1) บริษัทใช้เทคโนโลยีในการผลิตแทนคนมากขึ้น และ ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพโดยลดอัตราสูญเสียจากการผลิตให้เหลือเพียง 2% ในปัจจุบัน 2) การลดลงของ
ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขาย เนื่องจากขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น และ 3)บริษัทได้ขยายโรงงานใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของยอดขาย ซึ่งทำให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI เป็นเวลา 7 ปี ยิ่งเป็นสิ่งที่สนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรสุทธิ