เที่ยวไม่มีแผน แบบ เปอร์-สุวิกรม

 เที่ยวไม่มีแผน แบบ เปอร์-สุวิกรม

“แผนของผมคือไม่มีแผนครับ ถ้าผมจะเดินทางไปไหน ผมแทบไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย”

เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์ ตอบคำถามถึงไลฟ์สไตล์การเที่ยวของตัวเอง


มันอาจจะฟังดูเล่นๆ ขำๆ ไม่จริงจังในตอนแรก ก่อนที่เขาจะขยายความมันต่อว่า ไอ้ที่ “ไม่มี” แผนแบบที่ว่านี้ เป็นคนละเรื่องกับการที่ไม่ได้คิดหรือไม่มีจินตนาการถึงหมุดหมายการเดินทางเลย แต่เป็นการไม่มีแผนที่ไม่คาดหวัง ว่าจะต้อง “ทำ” หรือ “ไม่ทำ”อะไร…ซึ่งแน่ละ...เมื่อมันไม่มีเป้า ก็จะไม่มีความรู้สึกว่าผิดพลาด ไม่หดหู่เสียดาย หากไม่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ต้องการในตอนแรก


“ไปที่นั่นต้องไปกินร้านนี้ ตามรีวิวว่าต้องถ่ายรูปตรงนั้นไม่มีเลย ถึงจะอยู่ที่ไหนแต่ผมจะใช้ชีวิตไม่ต่างกับวันพักผ่อนที่ผมอยู่บ้าน เริ่มจากตื่นสายๆ แล้วค่อยออกไปหาไรกิน อาจจะเข้าไปถามกับคนท้องถิ่นที่เราเจอหลังจากออกมาที่พัก ผมใช้ชีวิตแบบนี้ในทุกๆ ที่ และเชื่อว่าเราจะเจอคนแบบเดียวกับเราในที่อื่น ณ มุมใดของโลกด้วยเช่นกัน”


เพราะชอบอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ผสมกับหน้าที่การงาน ทำให้ “เปอร์” ต้องเดินทางไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ ซึ่งหากนับนิ้วสถานที่ทั้งไทยและต่างประเทศที่เขาไปเหยียบในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ก็จะพบว่า นิ้วที่ออกมาช่วยนับมีไม่พอ ที่พอนึกออกคร่าวๆ ก็มีปาย จ.แม่งฮ่องสอน, ฮ่องกง, เมืองเพิร์ท ออสเตรเลีย, มาเก๊า หรืออย่างล่าสุดช่วงเทศกาลส่งท้ายปี เขาเลือกภูเก็ตเป็นที่หลบเวลา พาตัวเองข้ามปีกับบรรดาเพื่อนสนิท


แล้วอะไรที่เป็นความทรงจำของการท่องเที่ยวในรอบปีที่ผ่านมาล่ะ?... เขานิ่งคิดไปสักนิดแล้วบอกว่า ประเทศโครเอเชีย


“ทริปนั้นผมปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์มากเลยครับ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรมากำหนดสักอย่าง เริ่มตั้งแต่หารเงินกับเพื่อนเช่าเรือยอร์ชเที่ยวกัน ซึ่งพอขึ้นเรือทุกคนก็จะจองห้องส่วนตัวกันหมด มีผมเป็นเศษเหลืออยู่คนเดียวก็เลยต้องนอนดาดฟ้าเรือ กินนอนตรงนั้นอยู่เป็นอาทิตย์ ที่หมายอย่างเดียวที่ผมตั้งใจไว้คือไปเทศกาลดนตรี พอไปเสร็จพวกเพื่อนที่ทำการบ้านไว้ก็แยกย้ายกัน ไปกับครอบครัวบ้าง ไปกับแฟนบ้าง ส่วนผมยังไม่รู้จะไปที่ไหน ก็ชวนเพื่อนอีกคนที่ไม่มีเป้าหมายเหมือนกันออกเที่ยว"


"เช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ไปเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ขี่ขึ้น-ลงเขา เลียบชายหาด ไปปราสาท เรือจอดตรงไหนก็จะเช่ารถขี่ลัดเลาะไปเรื่อยๆ อาศัยว่าพอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ก็ถามทางไป ได้เพื่อนใหม่เป็นคนอิสราเอล กับฝรั่งเศส แล้วเราก็พากันเที่ยวแบบคนที่ไม่รู้อะไรเหมือนกัน บางที่ผมยังบอกไม่ถูกด้วยเลยครับว่าที่นี่เขาเรียกว่าอะไร อาศัยตอนอัพ IG ที่ขึ้นโลเคชั่นสถานที่ให้”


ทริปที่โครเอเชียจึงครบเครื่อง ทั้งการได้เห็นทัศนียภาพแบบที่ไม่เคยเจอ ได้ความรู้สึกผจญภัย พร้อมๆ กับความสะดวกสบายในคราวเดียวกัน


ส่วนช่วงเวลาที่ลืมไม่ลงและเป็นเรื่องที่เขาเล่าให้ใครต่อใครฟังเสมอคือ ตอนไปเที่ยวปายเมื่อไม่กี่ปีก่อน ซึ่งเขามักเริ่มต้นว่า ก่อนหน้าจะไปได้ยินเรื่องปายมาเยอะ แต่ไม่เคยไปสักที จนกระทั่งมีโอกาสไปทำงาน จ.เชียงใหม่ ซึ่งเมื่อเสร็จงานเขาขอแยกตัวจากสมาชิกเพื่อเดินทางไป จ.แม่ฮ่องสอน ตามลำพัง


“นึกออกไหมครับ คือใครๆ ก็พูดถึงปาย เพื่อนผมก็พูดเสมอว่าอากาศดีมาก ต้องเตรียมเสื้อหนาวไปนะ แล้วไปปาย-ึง ต้องไปกินข้าวร้านโน้น -ึงไปนอนที่นั่น แล้วพอตกดึกหน่อยให้ไปนั่งเล่นที่ร้านนี้ เออ..เราก็ไม่รู้อะไรหรอก ก็ฟังแล้วก็จำไป พอถึงเวลาไปคนเดียว บุกเดียว เอาว่ะ ได้ไปสักที พอไปถึงปุ๊บ ลงมา เฮ้ย..ทำไมไม่หนาวเลยวะ ทำไมอากาศไม่เหมือนที่เขาพูดกันเลย แดดก็แรง นี่มันไม่ต่างอะไรจากเชียงใหม่ ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ ชัดๆ”


เขาพกความเซ็งเล็กๆ หลังจากทานอาหารมื้อแรกและกลับเข้าที่พัก กระทั่งเมื่อฟ้ามืดลงและก้าวเท้าออกไปอะไรทำถึงพบว่า “ปาย” ที่เขารู้จักเมื่อตอนบ่ายๆ เป็นคนละความหมายกับภาพที่เห็นอย่างสิ้นเชิง


“ผมไม่รู้ว่าคนเขามาจากไหนกัน ในร้านอาหาร ในบาร์ แล้วก็มีคนต่างชาติเต็มไปหมด เราเป็นคนไทยยังคิดด้วยซ้ำว่า เฮ้ยนี่มันบ้านเราหรือต่างประเทศวะเนี่ย ก็เลยเดินเข้าไปที่ร้านหนึ่งแล้วสั่งอะไรมากิน เห็นฝรั่งคนหนึ่งก็เข้าไปพูดคุยแล้วพูดว่า “ขอโทษนะครับ อาจจะดูแปลกไปหน่อย แต่ผมเพิ่งเคยมาที่นี่ คุณพอจะพาผมเที่ยวได้ไหม” ซึ่งฝรั่งคนนั้นเขาบอก เขาก็เพิ่งมาเหมือนกัน จากนั้นเรา 2 คนก็ไปเที่ยวด้วยกันแบบคนที่ไม่รู้อะไรเลย เข้าร้านนี้ออกร้านนั้น ได้ไปดูทะเลหมอก ไปหมู่บ้านจีนยูนาน แบบที่คนอื่นๆ ไปกัน มันก็สนุกไปอีกแบบ”


“ผมเดินทางทั้งในความหมายของการท่องเที่ยวและผจญภัยไปพร้อมๆ กัน เวลาที่ผมมีโอกาสพาใครไปไหนก็จะคิดแบบนี้ เคยมีญาติคนหนึ่งที่ไปเกิดและโตที่อเมริกาเขาพาเพื่อนมาเที่ยวเป็นกลุ่มเลย ผมอาสาพาเขาไป ก็พาไปหมดในทุกที่ ไปล่องเรือที่ภูเก็ต ไปเชียงใหม่ ไปที่ต่างๆ ที่ผมคิดว่าดีที่สุด หรูที่สุดที่ผมพอจะพาเขาไปได้ ซึ่งเขาก็ชอบกันมาก และติดใจจนกลับมาใหม่ในปีต่อไป”


“แต่คุณรู้ไหมว่าปีที่เขามารอบที่ 2 ผมทำอย่างไร ผมให้กุญแจรถ ให้แผนที่ ให้ตั๋วที่จองไว้ให้ แล้วบอกเขาว่า ผมจะไม่พาเขาไปเที่ยวแล้ว เพราะปีก่อนนั้นผมพาคุณไปรู้จักเมืองไทยในความหมายของผมแล้ว จากนี้ไปคุณก็ต้องค้นหาความหมายของประเทศไทยด้วยตัวเอง พอได้ยินแบบนี้เขาอึ้งกันไปเลย แต่ก็ออกไปเที่ยวกันและกลับมามีความสุขในแบบของตัวเอง”


“แผนของผมคือไม่มีแผนครับ ผมปล่อยให้มันเป็นไปในแบบของมัน” เปอร์บอกอีกครั้งปนเสียงหัวเราะ


เราว่าเขาไม่ได้พูดเล่นๆ