'บิ๊กตู่'ปลื้ม'กทม.'ขึ้นแท่น เมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุด

'บิ๊กตู่'ปลื้ม'กทม.'ขึ้นแท่น เมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุด

"พล.อ.ประยุทธ์" ปลื้ม "กทม." ขึ้นอันดับ 1 เมืองที่มีผู้เดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลก ตั้งเป้าสร้างรายได้ท่องเที่ยวปีนี้ที่ 2.3 ล้านล้านบาท

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวใน “คืนความสุขให้คนในชาติ” ว่า เป็นเรื่องน่ายินดีที่ผลการสำรวจสุดยอดจุดหมายปลายทางโลก โดย Master Card ประจำปี 2559 ที่จัดอันดับให้กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของเรา ได้ขึ้นแท่นอันดับ 1 เป็นเมืองที่มีผู้เดินทางมาเยือนมากที่สุดในโลก หลังจากที่อยู่ในอันดับ 2 มา 2 ปีติดต่อกัน ทั้งนี้ปีที่ผ่านมากรุงเทพฯ ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เกือบ 22 ล้านคน มากกว่ากรุงลอนดอน แชมป์เมื่อปีที่แล้ว และกรุงปารีสนะครับ ที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือน เกือบ 20 ล้านคน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จุดเด่นของกรุงเทพฯ คือ ตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งเป็น HUB ของประเทศ และภูมิภาคอาเซียน รวมทั้ง ความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้า อาหาร วัฒนธรรม ความบันเทิงและการเดินทางที่สะดวก เป็นต้น แม้ว่าความสำเร็จในเชิงปริมาณ จะเป็นสิ่งที่น่ายินดี แต่ตนยังเห็นโอกาสในการพัฒนา เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จเชิงคุณภาพ ควบคู่ไปด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เช่น การสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาท่องเที่ยวให้นานขึ้น มีค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น รวมทั้งพัฒนามาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยว การบริการ การอำนวยความสะดวก การดูแลความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวนะครับ ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร, ชาวขอนแก่น และชาวไทยทุกคน ที่ร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเกียรติ ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลอง “วันท่องเที่ยวโลก 2559” ระหว่างวันที่ 26 - 29 ก.ย. ที่ผ่านมา ก็ได้ทราบว่ามีผู้นำอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจาก 157 ประเทศทั่วโลก ได้เดินทางมาประชุมและเฉลิมฉลองในบ้านของเราในครั้งนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท แต่ยังคงมีปัญหาเรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ซึ่งเป็นปัญหาด้านการท่องเที่ยว ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งเป็นปัญหาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย มากว่า 40 ปีแล้ว เป็นทัวร์ที่บริษัทนำเที่ยวในต่างประเทศ นำนักท่องเที่ยวจากประเทศตนเอง มาท่องเที่ยวในประเทศไทยผ่านบริษัทนำเที่ยวในไทย โดยบริษัทที่ส่งนักท่องเที่ยวมานั้นไม่จ่าย “ค่าทัวร์แฟร์ (Tour Fair)”ได้แก่ ค่าโดยสาร ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าทัวร์ และอื่นๆ ให้กับบริษัทนำเที่ยวของไทย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้มีการจัดโปรแกรมทัวร์ โดยการพานักท่องเที่ยวไปช้อปปิ้งในร้านค้าที่เป็น “นอมินี” เช่น ร้านจิวเวอร์รี่, เครื่องหนัง, งานศิลปหัตถกรรม และอื่นๆเป็นต้น ซึ่งโก่งราคาสินค้าสูงกว่าความเป็นจริง 10 – 100 เท่า การใช้บริการที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร รถโดยสาร ที่เป็นเครือข่ายเดียวกับบริษัททัวร์ จากประเทศต้นทางซึ่งมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง ทั้งในวงการธุรกิจและการเมือง รวมทั้งการจัดโปรแกรมทัวร์เสริม โดยบังคับให้ซื้อทัวร์เหล่านี้ เช่น ล่องแพ ขี่ช้าง เพิ่มเติม เป็นต้นนะครับ ด้วยวิธีการกดดัน ขู่เข็ญต่างๆ นานา เช่น มีการยึด Passport, ปิดแอร์รถ จอดรถจนกว่าจะยอมทำตามข้อตกลงหรือทิ้งลูกทัวร์ เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการทำทัวร์ลักษณะนี้ ส่งผล “เชิงลบ” โดยตรงต่อธุรกิจที่พัก ร้านอาหาร ผู้ประกอบการ ท่องเที่ยว นำเที่ยว ร้านขายสินค้าที่ระลึกของไทย เนื่องจากมีการตั้งบริษัทนอมินีมา ทำธุรกิจเหล่านั้นแทน ทำให้ประเทศไม่ได้รับรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งส่งผลกระทบข้างเคียง เช่น นักท่องเที่ยวไม่ได้รับการดูแลที่ดีและถูกเอาเปรียบ เกิดการเข็ดขยาด ไม่มาเที่ยวประเทศไทยอีกทั้งผู้ประกอบ การท่องเที่ยวของไทยก็จะไม่ได้รับค่าทัวร์แฟร์ จนแบกรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว อาจต้องปิดกิจการ รวมถึงสร้างความเสื่อมโทรมให้กับแหล่งท่องเที่ยว และทรัพยากรธรรมชาติเนื่องจากไม่สามารถจะควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวไม่ได้

“ปัจจุบัน รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ด้วยการบังคบใช้ทุกกฎหมายของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างตรงไปตรงมา เพื่อความถูกต้อง เช่น พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551, ระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยว และมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ฯ พ.ศ.2556 เป็นต้น รวมทั้ง บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ทุกมิติในคราวเดียวกันโดยจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกรมการท่องเที่ยว, กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว, สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว,สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย – จีน เพื่อให้การบริหารจัดการในการแก้ไขปัญหา การประกอบธุรกิจนำเที่ยวตลาดจีน ซึ่งเป็นปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญมากที่สุด ในปัจจุบันให้ได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด” นายกรัฐมนตรี กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางแก้ไข ได้แก่ การกำหนดราคากลาง ขายทัวร์ที่เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีการกำหนดต้นทุนที่ชัดเจน ตามกลไกตลาดเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่รอกฎหมายลูก ซึ่งจะกำหนดราคาขั้นต่ำของทัวร์ภายในปลายปีนี้ , ควบคุมการให้บริการนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพเช่น การกำหนดแบบรถทัวร์, คุณสมบัติไกด์ทัวร์, ตลอดจนรูปแบบของร้านค้าที่บริษัททัวร์นำนักท่องเที่ยวไปซื้อของได้ นอกกจากนี้ ได้จัดทำโมเดลเส้นทางท่องเที่ยวมาตรฐาน โดยระบุสิ่งที่ทำได้และสิ่งที่ห้าม มีการตรวจสอบทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ โดยเพิ่มเติมการตรวจสอบในเชิงลึก โดยเฉพาะที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทลูกข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการเสียภาษีและการฟอกเงิน เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ซึ่งเป็นมาตรการในระดับยุทธศาสตร์ ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศต้นทาง โดยได้พูดคุยสร้างความเข้าใจ เพื่อแสวงหาความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน (CNTA) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นนักธุรกิจของเราก็คงจะต้องร่วมมือ ได้มีการจัดทำบันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) เพื่อการทำงานเชิงรุกร่วมกันในอนาคตต่อไป