บี้ สุกฤษฎ์10 ปี มีอะไรเปลี่ยน

บี้ สุกฤษฎ์10 ปี มีอะไรเปลี่ยน

วันเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านมา บี้ สุกฤษฎ์ ความสัมพันธ์กับเจ้านาย ความฝันในละครเวที และชีวิตโลว์คีย์ของซุปตาร์

สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว หรือบี้ เดอะ สตาร์ นักร้องและนักแสดงชาวไทย สังกัดเอ็กแซ็กท์ ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ก้าวจากเวที เดอะ สตาร์ มาเป็น ซูเปอร์สตาร์ ของวงการ มีงานหลากหลาย ทั้งเพลงฮิตจนถึงงานละครทีวี บทบาทโดดเด่นมากมาย รวมถึงการเดินทางไกล ไปแสวงหาประสบการณ์ในสังเวียนละครเพลงที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่ผ่านมา และเดือนนี้ บี้ กลับมาพร้อมกับ งานคอนเสิร์ตใหญ่ ทั้งในวาระ 10 ปีในวงการของเขา และการหวนคืนเวทีเพื่อแฟนเพลงผู้เป็นที่รัก
วันเวลาและประสบการณ์ที่ผ่านมา บี้ สุกฤษฎ์ เปิดใจแชร์ ก่อนจะขึ้นทำหน้าที่ ที่เขาบอกว่า เป็นงานที่เขาชอบ “เอนเตอร์เทน” ที่สุด
@สิบปีเป็นวาระสำคัญที่จะต้องมี งานคอนเสิร์ต วาระนี้อยากจะโชว์อะไร?
สิบปีนี่เราไปหามาเหมือนไปทำResearchเล็กๆ ว่าคนอยากดูอะไร ปรากฏว่าคนคิดถึงคอนเสิร์ต เพราะครั้งล่าสุดจัดไปเมื่อปี 2554 ครั้งที่ 3 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 จัดที่ปี 59 ฉะนั้นมันหายไป 5 ปี คนก็คิดถึงคอนเสิร์ตแล้ว เมื่อก่อนอยากให้จัดปี 55 อยากให้จัดปี 56 ก็ไม่ได้จัดสักที เราก็มัวแต่ไปตามหาประสบการณ์ต่างๆ ต่างประเทศบ้าง เมืองไทยบ้าง ออกซิงเกิ้ลบ้าง ละครบ้าง ละครเวทีเมืองไทยบ้าง เล่นหนังบ้าง คราวนี้เราก็มีประสบการณ์หลายอย่างเพียงพอที่จะมาเล่าแล้ว มีซิงเกิ้ลเพียงพอที่จะมาลงคอนเสิร์ตแล้ว แล้วมาบวกกับความคิดถึงที่คนเรียกร้องๆ เนี่ย เราเอาความคิดถึงเของเขามารวมกันดีกว่า ใครคิดถึงท่าหัวใจเรามี ใครคิดถึงเพลงคิดถึงบี้เรามี ฉากเด่นๆ ในละครที่คนชอบพูดถึงเรามี บี้เล่นกับคู่นี้แล้วจิ้น เล่นกับคู่นั้นยังไงเรามี ความคิดถึงในเรื่องของเพลง อยากให้ทำเป็นยังไง อยากให้บี้เป็นแบบไหน เก็บความคิดถึงนั้นมารวมกัน แล้วมาคลายในคอนเสิร์ตอันนี้ นี่คือประเด็นแล้วเราก็คิดอย่างนี้ไปต่อยอดโชว์มันยังไง
@ทำไมเลือกเล่นคอนเสิร์ตในช่วงนี้ ?
ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่ามันทุกอย่างลงตัว เราก็เออ คิวก็ได้ว่างก็ได้ ฮอลล์ก็ได้ ประสบการณ์ในการไปเจออะไรต่างๆ มาห้าปีเรื่องราวน่าจะเยอะแล้วแหละ น่าจะเล่าได้เยอะแล้ว ตรงนี้แหละ ตรงนี้แหละ
@ในช่วงที่สามปีย้อนหลังไป เหมือนกับว่าบี้ไปเจออะไรเยอะแยะ สิ่งที่บี้รู้สึกว่ามันเป็นความสำเร็จมากที่สุดคืออะไร
ถ้าเกิดพูดแค่เรื่องสามปีเนี่ยน่าจะเป็นเรื่องของเราไปหาประสบการณ์ที่อเมริกาเล่นละครเวที Waterfall ก็คือเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ไปทำเป็นภาษาอังกฤษ มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ถ้าเป็นลูกผู้ชายก็อาจจะต้องไปเข้าค่ายทหารเมื่อถึงอายุเกณฑ์ แต่ถ้าเป็นวงการบันเทิงผมถือว่ามันคือการเข้าค่ายทหารของวงการบันเทิงเลยนะ
@ยังไง?
เพราะมันเริ่มจากการฝึกเลย ภาษาไม่ได้เลย ภาษาผมนี่ is am are was were แกรมม่านี่คือเอาโยนทิ้งไปเลย พูดกับฝรั่งก็ก๊องๆ แก๊งๆ เอาพอรู้เรื่องอะนะ การร้องก็อย่างที่เห็นในรายการ The Star ผมก็เน้นร้อง ไม่ได้เน้นร้องเพราะ ร้องสนุก เอาให้คนฟังแล้วยิ้มเอาไม่ให้เพี้ยนไม่น่าเกลียดอะ เต้นก็เต้นสนุกแดนซ์สบายหัวใจ ไม่ได้เต้นโชว์ฮิปฮอปโหดร้าย เอนเตอร์เทนก็ยิ้มเอาสนุก การแสดงก็ให้คนดูเราแล้ว เห็นเราดูแล้วมีเสน่ห์ดี ให้คนดูเราเห็นเราแล้วอยากชอบไม่ได้เป็นการแสดงอย่าง โหดร้ายออฟ พงศ์พัฒน์ นก สินจัย อะไรอย่างนี้ เราก็จะเน้นอยู่อย่างนี้ แล้วความจริงใจเราเป็นกันเอง พอไปสู่มาตรฐานโลกแล้ว เซนส์ของคนไทยกับเซนส์ของฝรั่งก็ต่างกันแล้ว คราวนี้เขาก็อะไรไม่เห็นจะน่าสนใจเลย ไม่เห็นขำเลย ไอ้ร้องก็แล้วไง ร้องดี ฉันรู้แล้วว่าในประเทศคุณมันดีแต่อเมริกามันไม่ดี เต้น เออประเทศคุณมันคงจะน่ารักแต่ที่นี่อเมริกามันไม่ใช่ การแสดงคุณแสดงแบบไทยพอฉันมาดูการแสดงท่าทาง
@อะไรคือการแสดงแบบไทยๆ?
การแสดงแบบไทยคือเวลาคนไทยเราคุยกันอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การคุย การพูดจา การมองก็เป็นแบบไทยๆ สมมติเมื่อเราไปสนทนาการฝรั่งเขาก็จะมีความมั่นใจเวลาพูดอะไร เริ่มมีอาการ นั่ง มอง คุย คิดอะไรก็บอก โฮ่ มันใช่ เรื่องนี้มันถูกต้อง ผมไปมา ที่นู่นมัน (เน้นเสียง) เขาก็จะมีอาการพวกนี้ที่มันแตกต่างกับคนไทยแล้วพอเราแสดงเหมือนคนไทยก็เหมือนชีวิตประจำวันของคนไทย เขาก็จะรู้สึกว่ามันไม่สื่อสาร ฉันรู้สึกว่ามันจับต้องยาก ฉันเข้าใจนะ แต่เกิดฉันไปเที่ยวเมืองไทยอย่างนี้ฉันรู้แต่นี่ฉันไม่ได้ไปเที่ยว คุณมาเล่นให้ฉันดูคุณทำอย่างนี้ไม่ได้ ปึ่ดชิชิ (ทำเสียงเป่าลม) ฉะนั้นเนี่ย เอ่อ ก็ย้อนกลับไปที่ว่าอะไรมันคือที่สุด ไอ้พวกนี้แหละก็เป็นการฝึกฝน
ทุกอย่างที่เล่ามาแล้วก็ประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ต่างแดน ผมเป็นคนรักเมืองไทย ชอบเมืองไทย อยู่เมืองไทย ไปต่างแดนเที่ยวได้นิดหน่อย นี่ต่างแดนเข้าไปทำงาน ไปอยู่ต่างแดนก็ไม่มีที่พึ่ง บางครั้งเจ้านายไปด้วย(หมายถึง ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้บริหารเอ็กแซ็กต์) แต่ว่าครั้นจะพึ่งเจ้านายก็กระไรอยู่ ก็เจ้านายก็เป็นคนด่าเราเอง (หัวเราะ) ว่ามันต้องทำอย่างนี้ๆ ก็เลยต้องพึ่งตัวเองอย่างแท้จริง อยู่ที่นี่เราอาจจะมีทีมงานมีอะไร เราท้อเราเหนื่อยมา เอ้ย พี่ ช่วงนี้ขอแบบนี้ได้มั้ย ช่วงนั้นขอนั่นก่อน อะลุ่มอล่วยกันได้ แต่ไปอยู่นั่นก็ต้องพึ่งตนเองก็ไม่มีคำว่าอะลุ่มอล่วยที่นั่นไม่มีคำว่าเกรงใจ ประมาณน้อยครั้งมากที่จะได้ยินคำว่า It’s alright. It’s ok. หรืออะไรอย่างนี้ ไม่มี ไม่มีเลย แทบจะนับครั้งได้ และนี่แหละมันเป็นประสบการณ์ที่เราได้ Survive ด้วยตัวเองจริงๆ
@มันมีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า โอเค เราพร้อมแล้ว เราจะก้าวข้ามจุดนั้นได้จริงๆ?
จุดเปลี่ยนคือเจ้านายเขาก็จะบอกผมตลอดเวลาว่า เขาอยู่ในวงการบันเทิงมากก่อนค่อนข้างนานเขาก็จะเห็นวิวัฒนาการของศิลปินนักแสดงหลายๆ คน บางครั้งอยู่ไปเรื่อยๆ แล้วตัน อยู่ๆ ไปแล้วตัน ไม่รู้จะทำอะไรต่อ อยู่ๆ ไปแล้วก็ถึงจุดที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ตัน บางคนก็ไปเรียนต่อ บางคนก็เลือกหายไป พักผ่อน ส่วนของผมก็ถือว่าเป็นทางที่ดีนะ ที่คุณจะได้ไปอเมริกาสักระยะนึง แต่คุณไม่ได้หายไปเฉยๆ แต่คุณยังได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นั่นด้วย เขาก็พยายามบิลต์ผมมาตลอด ตอนแรกผมก็หัวแข็งก็ไม่เชื่อ ไม่ไปอะ พี่จะมาบิลต์ผมทำไม
@ตอนแรกไม่ไปเพราะเรารู้สึกไม่อยากออกจาก Comfort Zone หรือเปล่า?
ใช่ครับ ตรงนี้มันคือ Comfort Zone คือ Safe Zone ของเรา ตอนแรกมันไม่ใช่ Safe Zone ของเรา แต่ เราสร้างมาจากติดลบจนไล่มาศูนย์ทำจนมันเป็น Comfort Zone แล้วอยู่ดีๆ เราจะย้ายไปติดลบใหม่แล้วขึ้นมาจากศูนย์อะไรเนี่ยก็เป็นเรื่องที่ยากมาก จะทำทำไมล่ะ แต่สุดท้ายก็มานึกถึงว่า าคนเรามันก็ต้องโต คนเรามันก็ต้องก้าวหน้า คนเรามันก็ต้องไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เราเกิดมายังมีลมหายใจ อีกอันนึงที่คิดได้ก็คือ โห เราอยู่ในประเทศไทยมาเกือบสิบปีแล้วกับวงการนี้ ได้รับอะไรมาเยอะ ชื่อเสียง เงินทอง ความโด่งดัง มันก็ถือว่าถึงเวลาที่เราต้องคืนให้กับเขาบ้างก็เลยสละกายไปเลย ทำให้เต็มที่ นึกถึงประเทศชาติเราบ้าง เผื่อว่าวันนึงประสบความสำเร็จเราได้ชื่อเสียงกลับมา ก็ขอเป็นหนึ่งในสะพานเล็กๆ ที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย
@ ตรงนั้นน่ะคือบี้มีตอนไหนที่บี้รู้สึกว่ามันโดนหนักที่สุดแล้วเราก็ผ่านมันมาได้ มันคืออะไร
ผมเนี่ยจะโดนทุบ ทุกๆ วัน สิ่งที่ดีเขาก็พูดแต่เราจะจับความรู้สึกว่าพูดเป็นปกติ Good Very Good Excellent พูดเหมือนสวัสดีครับเปลี่ยนคำว่าสวัสดีครับเป็นดีมากเลย แต่ พรืดดดด(เสียงเป่าปาก) แต่เยอะมาก ผมก็จะโดนทุกวัน วันละนิดวันละหน่อยก็เป็นสิ่งที่สะสมมา แต่สิ่งที่เราพออยู่ได้ก็คือต้องมาย้อนนึกถึงกำลังใจที่หลายๆ คนฝากมา นึกถึงโอกาสที่เราได้มาได้เจอประสบการณ์ที่เราได้มา พยายามนึกถึงตรงนี้อยู่ตลอดมันก็จะทำให้พออยู่ได้
@ตอนที่บี้ไปถือว่าบี้อยู่ในจุดพีคของที่นี่แล้ว พอไปที่โน่นมันเหมือนไม่มีใครรักเราเลยเหรอ มันมีโมเมนต์อย่างนั้นบ้างไหม?
โมเมนต์อย่างนั้นมีตั้งแต่เราเริ่มไปแล้ว คือไม่รู้ว่าฝรั่งเขาเรียกอะไร ผมเปิดใจแล้วเตรียมตัวไปแล้วอ่อนน้อมถ่อมตน ไปถึงปุ๊ปก็จะเห็นสายตาแล้วก็บรรยากาศในห้องมันไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ ถึงแม้คำพูดเขาจะไม่แสดงออกมา กายเขาก็ไม่แสดงออกมา แต่แววตาและอารมณ์ เราสังเกตได้ว่าเขาคิดว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันมาจากเมืองไทย อยู่ดีๆ ก็มาเล่นเป็นตัวนำ พวกฉันเล่นอยู่กับวงการละครเวทีมา 10-20-30 ปี ฉันยังไม่ได้ขึ้นเป็นตัวนำ (ในละครเวที)เลย ฉันฝึกขนาดนี้ยังไม่ได้เป็นตัวนำเลย มันเป็นใคร แล้วเขาก็จะชอบดูโปรไฟล์ พวกฉันเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เจ็ดขวบ จบจากมหาลัย Dance School ,Ballet School ,Singing School, Engineering School กดกูเกิ้ล ดูโปรไฟล์ ทำหมด อ๋อ ยูเป็น ซูเปอร์สตาร์ไทยแลนด์ ดูหน่อยเป็นยังไง เห็นสายตาพวกนั้นเราจะได้รับรู้ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าไป
แต่หลังจากนั้นที่เราเฟรนด์ลี่กับเขา เราแสดงตัวว่าเราไม่ได้มีอีโก้นะ ไปขอคำแนะนำ ขอทุกคนอะ มีอะไรแนะนำ การงาน ภาษงภาษา การเต้นการร้องหรือการใช้ชีวิต การเที่ยวการอะไรจนสุดท้ายเราก็กลมกลืนกัน สุดท้ายไอ้ผู้ชายที่มาจากประเทศไทยคนนี้มันไม่ได้มีพิษมีภัยเหมือนฝรั่งคนอื่นๆ ต้องมีอีโก้ที่ได้ขึ้นมา คนที่เป็นตัวนำสามารถจะเรียกร้องได้ทุกอย่าง ห้องส่วนตัวต้องอุณหภูมิเท่านี้ มีกาตรงนี้ มีพัดลมตรงนี้ ฉันจะเข้าเวลานี้ คนต้องทำความสะอาดตรงนี้ ตกตรงแบบนี้ คนที่เป็นผู้นำของเรื่องหรือเป็นลีดเดอร์ สามารถจะรีเควสต์พวกนี้ได้ ผมไม่รีเควสต์อะไรเลย บอกมีอะไรก็เอามาเท่านั้นแหละ เราให้ใจเขาเขาก็ให้ใจเรา
@แล้วพอตอนขึ้นแสดงจริงละครเวทีที่สหรัฐฯ ถึงวันจริง บี้รู้สึกว่าสุกงอมเต็มที่พร้อมที่จะขึ้นแสดงเลยไหม?
ถามว่าพร้อมมั้ย ณ ตอนนั้น ก็คงประมาณสัก 80 % ที่พร้อม อีก 20% อยู่ที่ความกังวลและความตื่นเต้นและความกลัว แต่ว่าต้องบอกว่าเวลาซ้อมที่นู่นมันสั้นมาก สมมติเดือนนึง เดือนครึ่งต้องใช้ความสามารถพิเศษของนักแสดงของพวกเขาที่เก่งๆ แต่เราไม่ใช่ ของเราบทแก้อีกแล้วพอรันวันนี้ไปพรุ่งนี้ซ้อม แก้บทกแล้ว แก้บทๆๆๆ ซ้อมๆๆๆ แก้บท อะ Run Through(ซ้อมเหมือนจริง) อีกวันขอแก้ก่อน ซ้อมๆ อีกวันนึง ห๊ะ เอาอีกแล้วเหรอ (หัวเราะ) เล่นแล้วเพิ่งแก้ทุกวันอยู่เลย เอ้าสู้ แต่ก็มีความกลัวว่า คนจะฟังเรารู้เรื่องไหม เพราะคนที่อยู่ในห้องกับเราน่ะรู้เรื่องเพราะอยู่กับเราเป็นเดือนกว่าสองเดือนสามเดือนบ้างแล้ว แต่คนข้างนอกที่มันซื้อตั๋วเข้ามาเนี่ยมันไม่เคยฟังจะฟังรู้เรื่องมั้ย ถ้าเกิดรู้เรื่อง คุยกันได้ สื่อสารรู้เรื่องแล้วกลัวว่าเราจะทำให้เขาซาบซึ้งได้มั้ย มาตรฐานเราจะถึงมั้ย ก็มีความกลัวต่างๆ อะไรพวกเนี้ยนั่นคือ 20% ที่หายไป
@แต่มันก็มีเสียงวิจารณ์ที่ทั้งดีและไม่ดี บี้รับเสียงวิจารณ์อย่างไรบ้าง?
ผมเทคเสียงวิจารณ์จากทีมงานมาเล่าให้ฟัง ตอนแรกผมก็พยายามจะหาพวกเวบบอร์ดพันทิปของอเมริกามันมีเปล่า ผมก็มานั่งดู หาไม่เจอมันยังไงวะ แล้วคนอเมริการู้สึกการวิจารณ์มันจะหายาก ไม่เหมือนคนไทยเอะอะก็วิจารณ์แต่ทำไมอันนี้มันหายากจังเลย นิวยอร์คไทม์นั่นนี่เดี๋ยวมันออกมา อะให้เพื่อนเล่าให้ฟังก็แล้วกัน ทีมงานก็ฝรั่งเขาชอบเช็คกระแสวิจารณ์ อีกวันเขาไปเช็คก็จะแก้บทอะไรตามนั้นให้มันเหมาะสม ก็อ๋อ สงสัยสิ่งเหล่าแหละนี้ได้รับการเช็คมาแล้ว ฉะนั้นเราไม่ได้มีหน้าที่เช็คแล้วแต่เราก็รู้ว่ามีวิจารณ์เรื่องไม่ดีประมาณนี้
มีวันนึงเข้าอ่านในหน้าหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ โอ้โห อ่านไม่ออก ภาษาเทคนิคเยอะมาก ภาษาเป็นทางการเยอะมาก อ่านไม่ออกแปลไม่ได้จริงๆ ช่วยอ่านให้หน่อย เขาก็แปลสรุปเป็นภาษาง่ายๆ ให้เราฟัง อ๋อๆ นอกจากการวิจารณ์เราแล้วมันยังโชว์การใช้ภาษาด้วย เราก็ไม่สนใจมันแล้ว เทคเฉพาะสิ่งที่ทีมงานย่อยมาแล้ว เพราะทีมงานย่อยมาแล้วถือว่าทีมงานเห็นตรงกันและเอามาให้เรา ถ้าเราไปย่อยเอง เผลอๆ ย่อยผิดกับทีมงานย่อยมาแล้วจูนไม่ตรงกันแล้วทีนี้ ก็คุณเอาไงผมเอางั้น
@เห็นว่าจะมีรีสเตจ ละครเวที Waterfall อีกใช่มั้ย แล้วเราจะกลับไปทัวร์แสดงที่อเมริกาอีก?
ต้องใช้คำว่า “อาจจะ” เพราะว่าตอนนี้มันสิ้นสุดการเดินทางแล้ว ก้าวต่อไปที่จะต้องก้าวโดยตามโปรเซสของมันแล้วต้องบรอดเวย์ นี่ผมเดินทางมาถึงก้าวสุดท้ายก่อนเข้าบรอดเวย์แล้ว ไปเล่นมา ตอนขั้นตอนนี้พี่บอย (ถกลเกียรติ) ก็ไป-กลับ บ่อยเหมือนกัน เดือนละครั้ง สองเดือนครั้ง ไปติดต่อบิซิเนสเรื่องการลงทุน ติดต่อโรงละคร บทละครต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมอะไรอีกมั้ย อะไรมั้ย แล้วถ้าเกิดโชคดีไม่วันใดก็วันหนึ่งปีต่อไปจะได้ขึ้นเข้าบรอดเวย์ ถ้าโชคดี รองลงมานิดนึงอาจจะทำการรีสเตจเล็กๆ เหมือละครมหาลัยสองร้อยที่นั่ง แสดงแบบไม่มีฉากไม่มีอะไรมาก เพื่อให้นักลงทุนและพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาดูว่า ประมาณนี้นะที่จะเอาลงบรอดเวย์ หรือโชคร้ายลงมาอีกสเตปหนึ่ง เก็บกระเป๋ากลับบ้านและเก็บประสบการณ์ที่ดีเอาไว้
@มันมีโอกาสที่ละคร Waterfall ข้างหลังภาพ ภาคภาษาอังกฤษจะเปิดแสดงให้คนไทยได้ดูมั้ย ลิขสิทธิ์เป็นของบริษัทฝรั่งหรือของเรา?
ตอนนี้ครึ่งๆ ครับ เพราะพี่บอยก็เป็นคนลงทุนและคนเริ่มต้น แต่ทางเขาก็ขอแบ่งด้วย แต่ถ้าจะเกิดขึ้นจริงก็คงขอมาได้ เราเคยมีการวาดฝันกันสนุกๆ ก็นอนฝันเฟื่องกันกับพี่บอยว่า ถ้าเรามีโอกาสเข้าบรอดเวย์นะ เราเข้าไปปุ๊ปและถ้าเรื่องนี้มันประสบผลสำเร็จเราก็จะได้อยู่ที่นั่นถึงปีหนึ่ง แล้วเราก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย แล้วเรื่องนี้ก็ให้ตัวนำคนอื่นๆ มาเล่นต่อเหมือนละครเพลง Phantom of the Opera ที่เล่นกันมาเป็น 20-30 ปี ก็ให้มันต่อไปเรื่อยๆ กระแสดีต่อไปเรื่อยๆ คราวนี้คนไทยอยากดูเราก็ทำต่อไปทำสำเร็จเหมือนเป็นเวิลด์ทัวร์ โดยที่พอไปเมืองไทยเราก็ให้นักร้องนักแสดงตัวนำของเมืองนั้นมาเล่นเป็นตัวนำเสียบไปๆ แต่พอมาเมืองไทยก็เป็นคนนี้แหละ เป็นเรานี่แหละเล่นให้ดู อาจจะสักแค่หนึ่งเดือนแล้วก็ค่อยให้แคส(นักแสดง)ฝรั่งหมดเลย แต่ตัวนำ (บทนพพร ในเรื่องราวข้างหลังภาพ) เป็นเราเป็นออริจินัลเวอร์ชั่น ก็เคยฝันกันเล่นๆ ถ้าเกิดไปถึงตรงนั้น
@รู้สึกตัวเองบรรลุจุดเป้าหมายของการไปทำงานที่อเมริกาหรือยัง?
ตอนนี้ยังครับ เพราะว่าเราตั้งเป้าไว้ที่บรอดเวย์ เมื่อไหร่ที่เราได้ก้าวขึ้นไปเล่นบรอดเวย์อันนั้นถือว่าผมและทีมงานบรรลุเป้าหมายแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่ามันเป็นการเดินทางที่เราจะไปถึงจุดนั้น ถือว่ายังไม่บรรลุเป้าหมาย
@หลังจากผ่านจุดนั้นมากลับมา บี้มองงานที่นี่เปลี่ยนไปไหม หรือมีวิธีคิดที่ต่างไป?
วิธีคิดไม่ได้ต่างไปแต่ได้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นมาเท่านั้น อยู่ที่นี่ ปกติเราก็ทำงานของเราเต็มที่นะ แต่เราจะรู้ว่าลิมิตของเรา และลิมิตของทีมงานอยู่ที่เท่าไหร่ อยู่ที่ตรงไหน กรอบของมันประมาณไหน อย่างเช่นเวลาเราคิดงานเพลง งานละคร คิดคอนเสิร์ตลิมิตหรือกรอบที่เราพอจะทำได้มีอยู่ประมาณไหน เราคุยเรื่องงานกันได้ในการออกไอเดีย ประมาณไหน การประพฤติปฏิบัติตัวประมาณไหนถึงจะล้ำเส้น ในการเสนอไอเดียหรือในการคัดค้าน อันไหนคือล้ำเส้น อันไหนคืออ่อนแอ ตรงนี้แหละเราทำตัวเหมือนเดิม แต่เราเพิ่มความรู้เข้ามา พอไปทำงานที่นู่นปุ๊ปที่อเมริกา พอเราทำเหมือนเดิมที่เมืองไทย ใช้สกิลนี้ทักษะนิสัยแบบนี้ไปที่นู่นแล้วกลายเป็นคนอ่อนแอเพราะเมื่อไหร่ที่เราไม่ค่อยเสนอความคิด ไม่ค่อยตอบคำถามไม่ค่อยโต้แย้ง ไม่มีรีแอคชั่นเขารู้สึกว่าคุณคือจุดอ่อนที่เป็นหุ่นเชิดอะไรแบบนี้ พอกลับมาเมืองไทยถ้ามีรีแอคชั่นมากเกินไปโต้เถียงมากโยนไอเดีย ไม่ค่อยรับฟังอะไรมากเท่าไหร่ก็จะกลายเป็นคนก้าวร้าว มันต้องเวทน้ำหนักดีๆ
ฉะนั้น พอกลับมาเมืองไทยเราก็ได้ความรู้ หรือการประพฤติตัวนั้นมา เรารู้ว่าอันไหนเหมาะอันไหนควร แล้วก็ประพฤติตัวที่นี่เหมือนเดิม เราจะมีจังหวะมากขึ้นแค่นั้นเองจังหวะนี้เป็นจังหวะของเรา เป็นจังหวะที่เราจะแทรกไอเดียเข้าไปได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะไม่ค่อยมีหวังหวะ เราก็โอเคคนไทยอะนะ มาก็อยู่นิ่งๆ ดีกว่า เซฟๆ ไปพูดอะไรมากมายเดี๋ยวคนก็เกลียด
@ตอนนี้ก็รู้สึกเซฟมากขึ้นมั้ย? อย่างบี้ไม่น่าจะมีคือไม่น่าจะเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกกระแสลบ?
ใช่เพราะว่าเมื่อก่อนผมจะไม่พูดอะไรที่มันเกิดอาการเสี่ยงกับตัวเรา อย่างเช่นว่าเราเห็นในหนังสือพิมพ์นะ หลายๆ คนบางครั้งก็ออกมาสปีคเอาท์ออกมายืนหยัดตัวตน บางคนก็ออกมายืนหยัดเรื่องของการเมือง บางคนก็ยืนหยัดเรื่องสิทธิความถูกต้องของอันนั้น มีข่าวอันนี้ ตัวเองก็ไปโพสต์ความเกี่ยวข้องความถูกต้อง บางคนก็ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากออกความเห็น มติมอตโต้เจ๋งๆ ออกมา ซึ่งในระยะเวลาสิบปีเนี่ย เราไม่ทำจุดนั้นเลย
เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เราออกมอตโต้หรือเราไปสนับสนุนอะไรต่างๆ เมื่อไหร่ที่มันผิดปุ๊ป คนรอซ้ำเลย ปึ้ง เป็นลักษณะปกติ แต่เราก็ไม่ทำ พอเรากลับมาแล้วเนี่ยเรารู้สึกว่า พอเราไม่พูดอะไรสักอย่างเลย มันก็ถือว่าไม่รู้จะเกิดมาแล้วล้างหลัง เลหลัง ไม่สปีคเอาท์อะไรเลยตามนั้นไป ความเป็นตัวตนมันไม่มีเป็นศิลปินมันก็ต้องมีตัวตน ฉะนั้นเราก็ดูจังหวะจังหวะไหนควรพูด จังหวะไหนไม่ควรพูด จังหวะไหนควรออกความเห็นความมั่นใจ จังหวะไหนควรยอมความกันไป ก็จะได้จังหวะตรงนี้มา ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนเดิม เพียงแค่บางครั้งว่า เราก็ออกไอเดียยืนหยัด ถ้าไม่มีจังหวะเราก็เหมือนเดิม สบายๆ ใครว่าไงก็ว่ากัน เราก็รู้ในสิ่งที่เราเข้าใจ เราก็ว่าเขาต้องการอะไร แต่อย่าไปโต้แย้งในจังหวะที่ไม่ควรเท่านั้นเอง
@คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ นอกจากจะเป็นเจ้านายบี้แล้ว เขาเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงอยู่รึเปล่า?
ตอนนี้ยังก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกันครับ ทำงานกันจนรู้ไส้รู้พุง เหมือนเป็นพี่เป็นน้องไม่ต้องพูดอะไรกันมาก
@แต่เขาเป็นคนแรกที่เราจะปรึกษา?
ถามว่าเป็นคนแรกมั้ยอาจจะไม่ใช่ ด้วยภาระหน้าที่ของเขา เวลาเขาเป็นเงินเป็นทองมากๆ การที่จะแทรกตัวเข้าไปในเวลาเขาเนี่ยเราไม่สามารถ สิ่งที่เราสามารถคือเขาสามารถแทรกตัวมาในเวลาของเราได้ เมื่อไหร่เขาเดินเข้ามาปุ๊ป ว่าอย่างไร มีอะไร โหเนี่ย...(ทำเสียงปุ้งๆ เหมือนพูดฉอดๆ) แต่เราไม่มีสิทธิที่จะไปแบบพี่ครับ ขอเวลาหน่อย โอกาสมันน้อยมาก ก็มีก็ได้แหละแต่น้อยครั้ง ฉะนั้นเราเลือกจะปรึกษา เขาก็มีมือซ้ายมือขวาของเขาที่เก่งๆ นะ ที่มีเวลาให้ก็ตรงนั้นน่าจะดีกว่าจูนกันติดกว่า
@แฟนคลับของบี้จะพูดอยู่อย่างหนึ่งคือบี้เป็นแรงบันดาลใจได้ มีพลังบวก สำหรับบี้คิดว่าสิบปีผ่านมาบี้ได้แรงบันดาลใจจากอะไรและคิดว่าตัวบี้ส่งแรงอะไรคนอื่นได้มากที่สุด?
สิบปีที่ผ่านมา มันเริ่มมากจากพื้นฐานของตัวเราก่อน พื้นฐานเราเกิดมาเป็นคนเหนือ ชีวิตก็จะสบายๆ พ่อแม่ก็รับราชการ ฉะนั้นเนี่ยมันก็มีทั้งข้อดีและข้อไม่ดีนะ goal ของเรามันก็จะไม่แข็งแรงมาก สบายๆ นะ อยู่ไปตั้งใจเรียนนะ อยากเป็นวิศวะกรนะ ค่อยเป็นค่อยไป ทำได้ก็ได้ ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เสียใจนิดหน่อยก็พยายามทำไป พ่อแม่ก็คอยปลอบ เต็มที่นะลูกอยากได้อะไร ทำอะไรเต็มที่นะ อย่าฟุ่มเฟือยนะ แต่ถ้าเพื่อนเขามีอะไรที่พ่อแม่พอหาได้ก็มาบอกนะ อย่าอดอยาก แต่อย่าฟุ่มเฟือย อะไรอย่างนี้เราก็อยู่ได้ด้วยมตินี้ พอเราเรียนมหาลัยพ่อแม่ก็ไม่อยากให้เราอดอยาก ครอบครัวเราก็อยู่ก็รักกัน พ่อกับแม่ผมแยกกันตั้งแต่อายุ 25 เราอยู่ด้วยความเกรงใจซึ่งกันและกัน ครอบครัวผมจะอย่างงี้เลย ใครอยากไปไหนบ้าง จะมีใครกล้าไป จะมีการเกรงใจกันจนหยดสุดท้าย เอาสิเธอ ครอบครัวผมอยู่อย่างนี้ ก็มีความเกรงใจกันมาจนมาเข้าวงการบันเทิงก็ค่อยๆ มาประกวดเดอะสตาร์ ก็ค่อยๆ มาบังเอิญได้เข้ารอบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป อยู่ด้วยรอยยิ้ม อยู่ด้วยความเกรงใจ ไม่ได้อยู่ด้วยความรู้สึกที่ว่า หืมม ฉันจะทำยังไงดี ให้ไอ้เนี่ยคะแนนมันน้อย ฉันจะทำยังไงดีให้ฉันมีลูกเล่นนี้ และก็เหนือกว่าไอ้นี่ ฉันจะไม่บอกมัน หรือขัดขามัน หรือถ้ามันถามฉันจะต้องพูดสิ่งที่ฉันไม่ทำ หลอกล่อไม่จริงใจต่างๆ ที่จะทำให้ฉันเหนือกว่าคนอื่น ไอ้ความคิดพวกนี้โดยพื้นฐานมันไม่มีแล้วก็เลยคิดบวกมาเรื่อยๆ เอ้า เกรงใจ พี่ครับเอาก่อนเลยครับ เพลงนี้พี่ชอบพี่ร้องเลย ผมได้อะไรก็ได้ผมร้อง ก็โชคดีที่เราได้บังเอิญเกรงใจ แต่ได้งานที่ถูกต้องทำหรับตัวเรา ขึ้นไปประกวดบนเวทีก็สวัสดีคร้าบ เป็นยังไงบ้างพ่อแม่พี่น้องวันนี้มาร้องเพลงให้ฟังนะ เหมือนพี่น้องกัน ยังไงสบายๆ บังเอิญตรงนี้คนเค้าชอบ ได้เล่นละครคอนเสิร์ตละครเวที เราอยู่กับความรู้สึกตรงนี้ตลอดเวลา เราไม่ได้อยู่กับความรู้สึกกดหัวหรือเหยียบใคร นี่แหละก็กลายเป็นว่าพลังบวกตรงนี้มันได้มาจากก่อนเข้าวงการ แล้วมันติดมาเรื่อยๆ กับความมีวินัย โอกาสมันผสมผสานกัน แล้วก็เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนที่คิดว่า โอ๊ย ดูสิฉันทำอะไรไม่ได้เลย ฉันจะไปตำแหน่งสูงๆได้อย่างไร ดุอย่างบี้สิมาติดเลยอะ มันติดลบไปแล้วมันไม่ได้มาจากหนึ่งจากสองเหมือนคนอื่น มันติดลบเลยร้องเพลงอะไรมันติดลบเลย ความคิดกระโหลกกะลามันติดลบเลยก็ยังขึ้นมาได้เรื่อยๆ ก็เป็นหนึ่งพลังบวกหนึ่งแรงบันดาลใจที่มันมาจากตันตนของเราก่อน ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการโดยเราไม่ได้สร้างมันมา
@ บี้ผ่านจุดที่มีไตเติ้ลเป็นซูเปอร์สตาร์แล้ว จากนี้ไป ความเป็นบี้มันจะเป็นอะไร?
เราก็ยังไม่แน่ใจนะ ความเป็นเราที่คนดูมอบให้จะเป็นอะไรต่อไป ไอ้คำว่าความเป็นซุปเปอร์สตาร์คนดูมอบให้ เราไม่ได้ไปเขียนเอง ก็ต้องแล้วแต่ว่ากระแสโลกมันเปลี่ยนไปอย่างไร ทุกวันนี้กระแสโลกมันเปลี่ยนไปเร็วมาก วันนึงเปลี่ยน วันนึงเปลี่ยน ชั่วโมงนึงเปลี่ยน ห้านาทีเปลี่ยน ไตเติ้ลในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่โลกหรือสังคม ตัวเรามีหน้าทีทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเหมือนตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เราไม่ได้เป็นคนสร้างไตเติ้ลเอง
@เป้าหมายต่อไปของบี้คืออะไร
ทำให้มันดีที่สุดนะครับ ตามกระแสโลกให้ทันทำให้ดีที่สุด เราอาจจะโชคดีบนโชคร้ายที่งานของเรามันหยุดนิ่งไม่ได้ พอเราหยุดนิ่งปุ๊ป โอ้โห ช่องนั้นทำอันนี้ ช่องนี้ทำอันโน้น ศิลปินคนนี้ทำอันนี้ๆ แนวเพลงเปลี่ยน การแต่งตัวเปลี่ยน อ้าว โอ๊ย ก็ต้องตาม อยู่นิ่งไม่ได้อะไรอย่างนี้ มันก็ผิดกับธุรกิจที่อะไร ยาสีฟัน มาม่า ยังอยู่ที่เป็นปัจจัยสี่ก็อยู่ได้เรื่อยๆ แต่เราไม่ได้เป็นปัจจัยสี่ ฉะนั้นก็ต้องพยายามตามกระแสโลกให้ทัน ให้เร็ว ว่าเขาต้องการอะไร คนปัจจุบันนี้มีความเครียดมั้ย ต้องการเสพความสุขแบบไหน หรือบางครั้งคนปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจดีมีความสุขมากไปแล้ว ดราม่า อัดละครเข้าไปสักหน่อย ให้มันบาลานซ์กัน ขาดอะไรเติมตรงนั้น นี่ก็เป็นภาพใหญ่ แต่ภาพเล็กเราเดี๋ยวมาลงดีเทล ด้วยคอนเสิร์ตเหรอ ด้วยละครเหรอ ก็ว่าไป
@ความท้าทายในชีวิตของตอนนี้คืออะไร
ความท้าทายก็นี่แหละครับการตามโลก ทุกวันนี้ยังตามไม่ทันเลย เราทำเพลงทำงานอะไรอย่างนี้ เดือนเดียวเท่านั้นเองทำเพลงเสร็จแล้วกำลังจะออกแล้ว อ้าว ก็ต้องพับเก็บ หางานใหม่ขึ้นมา หลายๆ ครั้ง โปรเจคละครที่เราทำขึ้นมา กำลังลงกำลังจะ อ้าว เปลี่ยนเร็วมากเลย แล้วก็มาเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ก็คือทีวีดิจิตอล เปลี่ยนไปอย่างยิ่งใหญ่เลย ไม่ใช่ว่าผมจะลำบากเป็นคนเดียว บางครั้งผมเห็นไปถ่ายหนังGTH ไอ้กล้องตัวใหญ่ๆ กล้องถ่ายหนังตัวละสิบกว่าล้าน บริษัทที่ซื้อมาเขาคงให้หนังเช่าๆ แล้วคิดว่าอีกห้าหกปีคืนทุน ปรากฏไอ้กล้องนี้ทำมาไม่ถึงปี แคนนอตัวเล็กๆ 5D อะไรอย่างนี้ก็ถ่ายได้ ใส่เลนส์เข้ามา ใส่ฮาร์ดดิสก์เยอะๆ เข้าไป ใส่เลนส์แสง อ้าว แล้วกล้องตัวนั้นหละพี่ เจ๊ง ไม่มีใครเช่า โอ๊ยตาย โลกเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน เพราะเพลงเราโดนก่อนไง ยูทูปมาปุ๊ป เมื่อก่อนคนโหลด ซื้อแผ่นซื้ออะไร เดี๋ยวนี้ไปกดเหรอ บี้ อู้หูเพลงขึ้นมาคุณภาพระดับ HD ต่อกับลำโพงนี่เบสแน่นแหลมคม โอ้โหยูทูปก็เป็นดาบสองคม
@นอกจากงานแล้วบี้ทำอะไรอย่างอื่นอีก เพราะภาพที่ทุกคนเห็นคือบี้ทำงานนั่น งานนี่ตลอดเวลา
ชีวิตส่วนตัวผมจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนักเพราะว่า ชีวิตเราถือว่าวงการบันเทิง งานก็คืองานเปิดเผยงานทำอะไรเต็มที่ ฉะนั้นคำว่าชีวิตส่วนตัวคือไพรเวท ไพรเวทคือชีวิตส่วนตัวใช่มั้ยเราก็ไม่ได้เปิดเผยอะไร ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้ว คือผมไม่ได้เก็บนะ เพียงแต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเฉยๆ นักข่าวถามส่วนตัวทำอะไรครับ ก็นอน ดูทีวี ออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง ว่างๆ ก็ทำความสะอาดห้อง อ้าว เท่านี้เหรอ อื้อ
@ไม่มีภาพหลุด?
บางครั้งผมก็ไปเที่ยว ไปทำอะไร แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปลงไอจีหรือว่าอะไรด้วยอะมั้ง โดยส่วนตัวไม่ค่อยเป็นคนชอบถ่ายรูป ไอ้ที่ลงก็คือเป็นงานนะ หรือบางครั้งเราไปเที่ยวสถานที่สวยๆ อะก็ถ่ายสักรูปนึงลง คนก็จะเออ ชีวิตส่วนตัวมันไปเที่ยวมันอะไร มันก็เป็นหนึ่งในตัวงาน แต่ถ้าส่วนตัวจริงๆ ผมชอบเข้าวัดเข้าวา อันนั้นไม่ค่อยได้ถ่ายลงหรอก เพราะมันเป็นเรื่องที่สังคมโลกส่วนใหญ่มันอยู่ด้วยกิเลส คนนี้ตบคนนั้น คนนั้นเลิกคนนี้ มันน่าสนใจกว่า คนนี้เข้าวัด ไม่น่าดูเลยอะ ทำดีอะ ไม่เห็นน่าดูเลยอะ ไอ้นี่โดนรถชน ไอ้นี่เป๋ ไอ้นี่กิ๊กไอ้นั่น มันน่าดูกว่า แล้วมาลงกูทำไมวะ เข้าวัดไม่เห็นน่าดูเลย ก็เลยไม่เป็นไร
ชีวิตส่วนตัวผมชอบเข้าวัด ปฏิบัติธรรมนอกเหนือจากนั้นก็ที่บอกไป ไปทานข้าวกับเพื่อนๆ เที่ยวเล่นนิดหน่อย เฮฮา พอถึงเวลางานก็มาฝึกกับที่ฟิตเนสอะไรอย่างเนี้ย จะอยู่ที่ประมาณนี้ ว่างๆ ก็ชอบนอนใช้ความไปเรื่อยๆ บางครั้งคิดอะไรได้ก็ต้องจด ต้องเก็บ เป็นชีวิตส่วนตัวโดยรวม
@รู้สึกว่าเรามาถูกทางมั้ย? ที่สามารถทำให้ชีวิตส่วนตัวมันโลว์คีย์ได้ ทุกอย่างคนก็โฟกัสเรื่องงานเวลาที่ออกสื่อ?
ผมว่าสำหรับคนอื่นอาจจะไม่ถูกทางวงการบันเทิง สำหรับเราคิดว่าถูกทาง เพราะว่าเราสงวนชีวิตส่วนตัวเอาไว้ สำหรับคนอื่น ณ ปัจจุบันนี้ปีก่อนๆ ไม่รู้ยังไง แต่ปัจจุบันนี้ชีวิตส่วนตัวกับงานต้องบาลานซ์กันแล้ว หมายถึงดารานักแสดงนะ ชีวิตส่วนตัวทำอะไรคนอยากรู้ ต้องลงไอจีแล้ว ต้องเฟซบุค ต้อง Live แล้วว่าวันนี้ชั้นมาที่นี่อะไรอย่างนี้ ฉะนั้นชีวิตส่วนตัวเขาจะหายไป แต่ว่าเขาชอบ เพื่อนเราที่เป็นนักร้องนักแสดงหลายๆ คนเขาชอบอยู่แล้ว เป็นธรรมชาติของเขา บางคนทางจอโทรทัศน์ของเขาไม่มีผลงานอะไรเลย พรีเซ็นเตอร์เต็มไปหมด เพราะว่าชีวิตเขาน่าสนใจ อะไรอย่างนี้ก็เป็นอีกวิธีนึง แต่ว่าเรื่องเงินมันไม่ได้สำคัญกับเราหรอก ความสุขในใจมันสำคัญกว่า เงินสำคัญแต่ปัจจัยนี้มันรองลงมา ฉะนั้นเอาความสุขในใจเราตั้ง ชีวิตงานเต็มที่เลย สัมภาษณ์ใครถ่ายรูปขึ้นเวทีกรี๊ดกร๊าดจับมือไมค์เต็มที่ แต่วันธรรมดาส่วนตัวอยู่ของเราเงียบๆ ไปบ้านเพื่อนๆ เล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าทางนี้สำหรับเราเหมาะ
@ ถามถึงแขกรับเชิญในคอนเสิร์ต 10 ปีของบี้ จะมีใครบ้าง?
ก็สามารถบอกได้ว่าเป็นคนที่เราเคยมีความสัมพันธ์ด้วยเป็นเวลาสิบปี คนที่ดูโดดเด่น แล้วก็คนที่เราอยาก..
@ฟังดูล่อแหลมนะ คือดูมีความสัมพันธ์ด้วย?
ก็พูดให้ดูน่าสนใจนิดนึงสำบัดสำนวนหน่อย (ยิ้ม) คือมีคนทีเราอยากร่วมงานด้วยแต่เราไม่เคยร่วมงานด้วย ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ เดอะสตาร์มีน้องเดอะสตาร์สี่คนสุดท้ายของเดอะสตาร์แล้วก็เปิดตัวกันในรายการวันนั้นที่บอก รายการสดก็ชวนขึ้นมา สี่คนสุดท้ายของเดอะสตาร์12 ก็จะได้ขึ้นมานะฮะ นางเอกคนก็บอกจิ้นเหลือเกินกับบี้ นั่นคือหนูนามา เดอะสตาร์ก็จะมา หนูนาก็จะมา ใครอีกล่ะที่จะได้มีความจิ้นกับบี้มาแล้วมา ส่วนคนที่เราอยากร่วมงานด้วยแต่ไม่เคยร่วมงานด้วยวงดนตรีวงดนตรีหนึ่งมาจากเชียงใหม่ภาคเหนือก็คือ ETC นี่เปิดเผยได้แล้ว ETC จะได้มาร่วมงานกับเราแล้วก็มี พี่ลูกเกด เมทินี เคยร่วมงานกันใน เรื่อง หัวใจศิลา ก็เป็นคนที่เราชื่นชอบคนนึงนะ พี่เขาเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ก็ชื่นชอบ @เกิดทันเหรอ? เกิดไม่ทั๊นนนน (เสียงสูง) แต่ได้มาดูย้อนหลังเอา ก็จะมาเป็นพาร์ทพาร์ทหนึ่งของคอนเสิร์ต แล้วก็เขาแซ่บอะจากการที่เขาไปทำงานที่ต่างๆ รวมถึง The Face แล้วก็กรรมการเดอะสตาร์ ดูความมั่นใจของเขากรรมการสงครามนางงาม เขาดูแซ่บอะ ถ้าขึ้นมาคอนเสิร์ตของเขาแล้วก็จัดซีนให้นิดหนึ่ง เจอเข้าไปนี่แซ่บแน่นอน คอนเสิร์ต บี้ สุกฤษฎิ์LOVE 10 ปีไม่มีหยุด จัดแสดง 2 รอบ วันที่ 11 -12 มิถุนายน ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์&l