PTT - ซื้อเมื่ออ่อนตัว

PTT - ซื้อเมื่ออ่อนตัว

คาดกำไร 1Q59 เติบโตอย่างมาก QoQ แต่ลดลงเล็กน้อย YoY

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

- คาด PTT รายงานกำไร 1Q59 +11,198% QoQ แต่ -5% YoY : คาดรายงานกำไรไตรมาส 1 ที่ 21,354 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายด้อยค่าธุรกิจถ่านหิน 1.58 หมื่นล้านบาทเหมือนไตรมาสที่ผ่านมา โดยธุรกิจทั้ง 3 มีผลประกอบการดังนี้ 1) ธุรกิจก๊าซธรรมชาติยอดขายทรงตัวที่ 4,628 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน(MMSCFD) แม้ว่ายอดจำหน่ายก๊าซฯ แก่โรงไฟฟ้า IPP จะลดลง แต่ยอดจำหน่ายก๊าซฯ แก่โรงไฟฟ้า SPP เพิ่มขึ้นเนื่องจากในไตรมาสนี้ไม่มีโรงไฟฟ้า SPP หยุดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตามยังมีผลขาดทุนจากการจำหน่ายก๊าซ NGV 1.2 พันล้านบาทลดลง 1 พันล้านจากไตรมาสก่อนหลังรัฐบาลมีการปล่อยราคา NGV ลอยตัว 2) ธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติผลประกอบการปรับตัวลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงโรงแยก 2 3 และ 5 เป็นเวลา 23 วันทำให้ยอดจำหน่ายปรับตัวลง อีกทั้งราคาขายผลิตภัณฑ์เริ่มปรับตัวลงตามราคาน้ำมัน 3) ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น โดยมียอดจำหน่ายขายเพิ่มขึ้นราว 2% QoQ สู่ระดับ 6,677 ล้านลิตรเพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง ขณะที่กำไรต่อลิตรทรงตัวที่ 1.1 บาทต่อลิตร

- บริษัทวางแผนขยายแนวท่อก๊าซฯ และเปิดสถานีจำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศเพิ่มเติม : ในปี 59 บริษัทยังคงเดินหน้าก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้ครอบคลุมพื้นที่ภาคกลางเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเน้นการเชื่อมต่อท่อก๊าซฯ จากโรงแยกก๊าซฯ ที่จังหวัดระยองไปยังจังหวัดสระบุรีและนครราชสีมาซึ่งดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 70% เพื่อให้สามารถส่งก๊าซฯ ไปยังโรงงานภาคกลางได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งในอนาคตจะสามารถส่งก๊าซฯ จากท่าเรือก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เข้าระบบท่อก๊าซฯ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้น โดยบริษัทมีแผนขยายท่าเรือ LNG เพิ่มเติมจาก 5 ล้านตันเป็น 10 ล้านตันในปี 60 เพื่อเป็นการรับมือกับปริมาณก๊าซฯ ในอ่าวไทยที่จะผลิตได้ลดลง ด้านแผนการขยายสถานีจำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศ PTT มีแผนขยายสถานีเพิ่มเติมอีกกว่า 350 สถานีเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์เป็น 500 สถานีในปี 63

- คงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ที่ราคาเหมาะสม 276 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Sum of the part (SOTP) เพื่อให้สะท้อนถึงมูลค่าของบริษัทลูกได้ราคาเหมาะสมที่ 276 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาปิดล่าสุด แต่คงแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” เพราะผลประกอบการธุรกิจหลักฟื้นตัว และในปีนี้คาดว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในการด้อยค่าทำให้คาดการณ์ผลประกอบการโดยรวมมีโอกาสเติบโตราว 234% YoY