นายกฯ มอบนโยบาย 'กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน' ทั่วปท.

นายกฯ มอบนโยบาย 'กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน' ทั่วปท.

"พล.อ.ประยุทธ์" นายกฯ มอบนโยบาย “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” ทั่วปท. ย้ำทหารเข้ามาบริหารประเทศติดล็อค ตำหนิ นสพ.ลงข่าว “บรรหาร” คู่ภาพผู้หญิง

ศูนย์ประชุมธรรมศาสตร์ รังสิต พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานมอบนโยบายโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านภาคกลาง 6 จังหวัด กว่า 3,878 คนเข้าร่วมประชุม และรับมอบนโยบาย ซึ่งมีการถ่ายทอดสดระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ไปทั่วประเทศ  

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นองค์กรหนึ่งที่จะต้องช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งถึงวันนี้ เราทำงานร่วมกันมาเข้าสู่ปีที่ 2 ซึ่งเป็นความร่วมมือจากทุกฝ่าย ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง หมู่บ้านถือเป็นสังคมขนาดเล็กที่สุด และมีการพัฒนาต่อยอดมาโดยตลอด วันนี้จะต้องเร่งรัดการทำงานให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานบ้าง วันนี้รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับทุกคน ว่า การทำงานจะต้องมองที่ปัญหาของประเทศเป็นหลัก รวมทั้งโลกภายนอก บทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คือการพัฒนาท้องถิ่น ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ รวมทั้งการแก้ปัญหาในพื้นที่ การให้การบริการ ซึ่งที่ผ่านมา ก็เห็นว่าทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ และวันนี้ถือว่าตน กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนสีเดียวกัน มีเลือดสีเดียวกัน จะเห็นได้ว่าวันนี้ตนเองก็ใส่ชุดสีกากีเหมือนทุกคน

“วันนี้ถ้าเรามีความเข้าใจที่ตรงกัน อยู่ร่วมกันในสังคมให้ได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่หากวันใดมีความขัดแย้ง มีความเห็นที่แตกต่าง ก็จะเกิดปัญหา ดังนั้นจะต้องวางเป้าหมาย โดยยึดประเทศชาติ และประชาชนเป็นหลัก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุด นอกเหนือจากการสร้างความสงบเรียบร้อยในพื้นที่แล้ว ก็ยังต้องพัฒนาร่วมกันประชาชนในพื้นที่ ก็จะถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมกันรัฐบาลชุดนี้ และคสช. เพราะถ้าหาคนในพื้นที่ไม่เข้าใจกันแล้วจะไปไม่ได้ทุกเรื่อง จะติดขัดไปหมด วันนี้เราต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันให้ได้ วันนี้ท่านต้องเชื่อใจผม ผมก็ไว้ใจท่าน เราต้องไม่สนับสนุนให้เกิดความแตกแยก เห็นต่างได้ แต่ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่เป็นธรรม คนเราไม่มีทางที่จะเท่าเทียมกันได้ แม้แต่การปกครอง ในระบอบต่างๆ แต่สิ่งที่จะเท่าเทียมกันได้ คือการอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ละเว้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่จะต้องทำวันนี้ คือทำอย่างไรสังคมจะเกิดความสงบ ไม่ขัดแย้ง ไม่เห็นต่าง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว  

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำงานเราทุกคนจะต้องร่วมมือกัน เพราะถือว่าทุกคนเป็นเครื่องจักรในการพัฒนาประเทศ รัฐบาลเป็นเพียงแบตเตอร์รี่ หรือกล่องควบคุม และทุกคนก็เป็นเครื่องจักร เป็นฟันเฟืองต่างๆ สามารถทำให้รถวิ่งไปข้างหน้าได้ เฟืองตัวใดตัวหนึ่งจะขาดไปไม่ได้ ตนไม่เคยไม่ชอบใคร หรือรังเกียจใครเป็นการส่วนตัว เพราะตนเป็นทหารอยู่กับพวกท่านมาก่อน วันนี้เราต้องเอาอดีตทั้งหมดมาร่วมกันดูว่าจะแก้ไขอย่างไร รถยนต์ที่ใช้มาก็ต้องมีการพัฒนาปรับปรุงให้ทันกับยุคสมัย ไม่ใช่ปล่อยมลพิษให้กับโลก ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ต้องช่วยกันประคับประคองรถคันนี้ให้ทันสมัย มีการขับเคลื่อนให้สอดคล้องทั้งใน และนอกประเทศ เราจะอยู่คนเดียวในโลก หรืออาเซียนไม่ได้ เราต้องมองอนาคตในระยะยาว และเอาอดีตที่ผ่านมาดูว่าทำอะไรกันไปบ้าง ต้องแก้ไขปัญหาในอดีตให้ได้ และวางแผนอนาคตในระยะ 5 - 10 ปีต่อไป

“ถ้าเรายังไม่คิดแก้ปัญหา หรือพัฒนาปรับปรุงตัวเอง วันข้างหน้าหากเกิดศึก สงคราม มันก็จะย้อนกลับไม่สู่อดีตที่ไม่สามารถรวมกันสู้ได้ วันนี้เราไม่ได้สู้กันด้วยเรื่องของการสู้รบ แต่วันนี้เราต้องต่อสู้กับเรื่องเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอก ซึ่งบังคับควบคุมไม่ได้ ต่อให้ทำดีอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ดูโลกภายนอก มันก็ไปไม่ได้ เราต้องเริ่มจากจุดที่เล็กที่สุด คือประชาชน และหมู่บ้าน เราช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เราหยุดรอมานานเกินไป เพราะเรามีปัญหามา ทั้งความขัดแย้ง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ต้องกลับมามองว่ากฎหมายอยู่ตรงไหน ถ้ามองเห็นทุกอย่างก็จบ เพราะทุกเรื่องกฎหมายเขียนไว้หมดแล้ว เพียงแต่จะใช้หรือไม่เท่านั้น อย่าลืมว่ากฎหมายยกเว้นไม่ได้ ทุกอย่างต้องกลับมาสู่กระบวนการทางกฎหมาย แล้วหาทางแก้ให้เป็นขั้นตอน แต่แน่นอนว่าให้ทุกคนพอใจเป็นไปไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมีความคิด รัฐบาลไม่ได้จำกัดความคิดเห็นที่แตกต่าง เพียงแต่จะต้องคิดให้ได้ก่อนว่า แตกต่างกันเพื่ออะไรเราต้องฟังเหตุผลและข้อมูลทุกด้าน ไม่ใช่หยิบยกอะไรมาเรื่องเดียวแล้วตีกันทั้งหมด ปัญหาไม่มีทางแก้ได้ถ้าเอาความขัดแย้งขึ้นมาก่อน เราต้องมาร่วมมือทำงากันก่อน ส่วนเรื่องความขัดแย้งค่อยมาดูที่หลังค่อยๆ แก้กันไป วันนี้เราต้องมาร่วมกันสร้างประชาธิปไตยให้เท่าเทียม ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันให้ได้เสียก่อน”นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ครบ 70 ปี เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังคนที่ออกมาพูด อย่างสมัยก่อนที่มีความขัดแย้งหลายๆ เหตุการณ์ ทั้งเดือนตุลาคม 2514 ล้วนเป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน และนักศึกษาบ้าง ท่านก็ทรงลงมาเกี่ยวข้องได้ โดยให้พระราชอำนาจของท่าน โดยห้ามปราบให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ยุติ ประชาชนก็จะหยุด แต่วันนี้ความขัดแย้งเกิดที่ประชาชน ทั้งสองฝ่าย ท่านทรงรับสั่งอะไรไม่ได้ เพราะท่าน และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เคยรับสั่งไปแล้วว่า ทุกคนคือประชาชนของท่าน ไม่ว่าจะข้างใด ฝ่ายใด สีใด เป็นประชาชนของท่านทั้งหมด เพราะฉะนั้นทุกคนต้องไปแก้กันมา เพราะท่านตัดสินตรงนี้ไม่ได้ ขอให้เข้าใจด้วย เรื่องต่อมาคำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมจึงต้องมีทหารเข้ามา เพราะประเทศไทยมันติดล็อคว่าไม่มีอะไรมาแก้ปัญหาได้เลย ก่อนหน้าที่จะเข้ามา เราก็พยายามอย่างเต็มที่ ในหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ ถ้าย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ก่อนวันที่ 22 พ.ค. 57 จะเห็นว่าปัญหามันไม่ง่ายแล้ว ปล่อยไปไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศก็เดินหน้าไม่ได้ รัฐบาลไม่มีอำนาจเต็ม นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจ และตนก็ไม่ได้ไปยึดอำนาจมาจากนายกรัฐมนตรี เพราะในขณะนั้นเป็นรัฐบาลที่ไม่มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งตามกฎหมายเขียนไว้ว่า ใช้จ่ายงบประมาณไม่ได้ รัฐบาลไม่สามารถอนุมัติงบประมาณในปี 57 แล้วปี 58 ต้องทำงบประมาณใหม่แล้วจะปล่อยให้ตีกันต่อไปหรือ ประเทศค้าขายไม่ได้ เงินเดือนก็จ่ายไม่ได้ 

“ผมจำเป็นต้องเข้ามาเพื่อปลดล็อคตรงนั้น เพราะมีอำนาจทหารเพียงอำนาจเดียวเท่านั้นที่จะแก้ไขอะไรต่างๆ ได้ เราได้ปล่อยให้มีการเลือกตั้งมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ จะถามว่าทหารทำอย่างนั้นหรือ และหากย้อนมาในเรื่องทางการเมืองในปี 53 มีการใช้กำลังทหาร ตำรวจ ถามว่าศาลชี้ว่าอย่างไร การใช้อำนาจในทางบริหาร ซึ่งเราต้องปฏิบัติ แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ทั้งหมด อยู่ที่ข้อเท็จจริงก็ต้องไปตรวจสอบกันมา ไม่มีใครอยากจะทำร้ายประเทศของเรา ทหารก็เป็นลูกหลานของพวกเราทั้งสิ้น ไม่ใช่คนใจร้าย ไม่มีใครอยากทำอะไร แต่เมื่อเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายก็ต้องทำ ปัญหาครั้งล่าสุดนี้ทุกคนก็เห็นอยู่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นจาก 2 ฝ่าย แต่ฝ่ายใดทำผิดกฎหมายมากที่สุด ซึ่งผมจะไปเข้าข้างใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ มีแค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังคำพูดที่บิดเบือนว่าทำไมตอนนั้นทำกับรัฐบาลโน้น แล้วไม่ทำกับรัฐบาลนี้ มันคนละเรื่องกัน อย่าให้ใครมาปลุกปั่นกับทุกคน และผมต้องทำความเข้าใจ”นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยต้องเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 20 ปี วันข้างหน้าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยอีก5-10ปี ข้างหน้าประเทศไทยจะเกิดปัญหาขาดคนวัยฉกรรจ์ที่เข้าสู่แรงงาน ในเรื่องของเศรษฐกิจ ทุกประเทศไม่ได้วัดจากจีดีพีอย่างเดียว เขานำเรื่องความสุขของคนในประเทศมาวัดด้วย ประเทศไทยจัดว่ามีความสุขในระดับต้นๆ ซึ่งวันนี้ไม่ต้องไปตีกับใคร ถ้าตีกันอีกแล้วจะมีความสุขไหม ก็จะต้องมีการเลือกข้างกันอีก ถามว่าจะเลือกไปทำไม ให้เกิดอะไรขึ้นมา ถ้าชนะกันไปข้างหนึ่ง แล้วประเทศจะได้อะไร ต้องคิดด้วยหลักการและเหตุผล การจะทำอะไรต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าทำผิดประชาชนก็มีความสุขไม่ได้ โลกปัจจุบันเขาบริหารแบบนี้ เราจะช้าและหยุดรอใครไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องคุณธรรมถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ประเทศสงบ แต่การพัฒนาจะต้องไม่หยุด ต้องพัฒนาด้วยคุณธรรม จริยธรรม ถ้ากำนันคนหนึ่งถือว่าเป็นกำนันที่มีจริยธรรม หากรวบรวมทั้งหมดเป็นสมาคมจะเรียกเป็นองค์กรที่มีจริยธรรม วันนี้ตนใช้กฎหมายทุกอันเหมือนกัน

“ผมไม่ได้เข้ามาเพื่อชี้ว่าไอ้นี่ผิดถูก แต่เป็นการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนที่เข้าก็ต่อสู้ไป คนไม่เข้าก็อยู่อย่างทุกวันนี้ เมื่อเข้ามาก็ไปต่อสู้สิผมจะไปยุ่งอะไร ยังไม่กลับมาเลยแล้วจะให้ผมไปทะเลาะกับใคร ผมขี้เกียจตอบ ผมไม่ตอบแล้ว สื่อแส่เลิก ผมไม่ไปทะเลาะกับใครอยู่แล้วมันเสียเวลา แต่หงุดหงิดก็มีบ้าง ทหารก็เป็นแบบนี้ ไม่อย่างนั้นปกครองกันไม่ได้”นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวต่อว่า วันนี้ต้องระเบิดจากผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อำเภอ ไปสู่จังหวัด สู่ภูมิภาคโดยรัฐบาลได้สร้างความเชื่อมโยงทุกด้านในสอดคล้องแผนปฏิรูป 20 ปี โดยปีนี้และปีหน้าตนหวังจะทำเรื่องพื้นฐานให้ได้ แต่ยอมรับแก้ไม่ได้ทั้งหมด การปฏิรูปไม่มีวันจบ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงตลอด วันนี้รัฐบาลและคสช.นำความต้องการของพวกท่านมาดำเนินการ กำนันผู้ใหญ่บ้านต้องคิดโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายที่วางไว้ โดยมองในภาพรวมเพื่อนำสู่การเดินหน้าประเทศ วันนี้ที่ทำไม่ใช่เรื่องของตนแต่เพื่อประชาชนและลูกหลานอีก 20 ปีข้างหน้า วันนี้ตนยังไม่รู้ว่าเป็นายกฯหรือเปล่ารู้อย่างเดียวว่าตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน คือความตั้งใจของรัฐบาลและคสช.อย่าไปฟังสิ่งบิดเบือนที่มีการบอกว่าตนทำเพื่ออำนาจ กฎหมายว่าอย่างไรก็อย่างนั้น นำเข้าสู่กระบวนการทั้งหมดใครผิดก็เข้ามาต่อสู้ แต่ถ้าไม่เข้าก็ถือว่าเป็นผู้ต้องหา เพราะกฎหมายตัดสินแล้วว่าผิดคือผิด ไม่ใช่เมื่อศาลตัดสินแล้วแสดงว่าเข้าข้างนู้น และไม่ใช่ว่าคดีเมื่อ4-5ปี ให้ยกเลิกทั้งหมดโดยอ้างว่าศาลไว้ใจไม่ได้อย่ามาคิดแบบที่บิดเบือนกันมา ว่าไปตามกฎหมายการทำงานของข้าราชการ ใครทำดีก็ตอบแทนใครทำไม่ดีก็ลงโทษ ถ้าไปทำให้ฝ่ายใดก็จะเกิดความอึดอัด ฉะนั้นตนจะไม่บังคับใคร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เคยมีรัฐบาลใดทำมากเท่ารัฐบาลนี้ ทั้งการบริหารจัดการน้ำได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขุดลอกคูคลอง ทำเรื่องต่างๆหลายด้าน ที่ผ่านมามีงบประมาณลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนคิดทุกวันว่า จะทำอย่างไรให้คนระดับล่างมีความสุข ประชาชนต้องรู้ว่าปัญหาอยู่จุดใด ตนไม่โทษใครทั้งสิ้น ทั้งนี้รัฐบาลได้ร่วมมือกับภาคธุรกิจ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ แต่ไม่ใช่เอื้อประโยชน์ให้กัน และในฐานะนายกฯ ไม่เคยพูดคุยกับภาคธุรกิจเป็นการส่วนตัว วันนี้ประชาชนต้องรวมกลุ่ม แต่ไม่ใช่แบ่งประเทศออกเป็นส่วนๆ เพราะมิฉะนั้น ประเทศจะเจ๊งหมด หากเราแบ่งเเยกกันจะไม่สามารถแข่งขันได้ ยิ่งวันนี้ประเทศไทย เป็นผู้นำจี77 หลายประเทศต่างอิจฉาเพราะ ประเทศไทยได้รับการยอมรับในพระมหากษัตริย์ของไทยที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนา

นายกฯ กล่าวต่ออีกว่า ระบอบปกครองแบบประชาธิปไตย อาจเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุด แต่ใช่ว่าจะเเก้ปัญหาได้ทั้งหมด เพราะปัญหาตั้งเเต่อดีตที่ผ่านมามักเกิดจากคน คนคือตัวปัญหา นำเรื่องราวต่างๆไปสู่การทะเลาะ จนบางครั้งคิดว่าคนจะกินกันเองเหมือนไดโนเสาร์ยุคก่อนหรือไม่ แม้มีปัญหานิดเดียว ก็ยังทะเลาะกันไม่จบสิ้น อย่างไรก็ตาม กำนันผู้ใหญ่บ้านลองพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าจะเเก้ไขปัญหาต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งนี้ สวนดุสิตโพลล์ ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยระบุว่า ประชาชน 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้เรื่องประชามติ และรัฐธรรมนูญ แล้วเราจะทำกันอย่างไร หรือประเทศจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก ตนเข้ามาในช่วงที่ประชาธิปไตยไทยกำลังเอน จึงเข้ามาเเก้ไขปัญหา เพื่อไม่ให้มันเอน และคนไทยต้องช่วยกัน เมื่อตนไม่อยู่ในอำนาจเเล้ว ทุกคนจะต้องอยู่ได้ โดยไม่ต้องรอเศษเงินเล็กๆน้อยๆที่เขามอบให้ เพราะมันไม่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้น รัฐบาลเเก้ไขทุกปัญหา เเต่เมื่อนำปัญหาต่างๆออกมาคลี่ดูก็พบว่ามันมีมากมาย เพราะก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้ทำอะไรไว้เลย ท่านไม่ควรฝากชีวิตไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง

“มีไหม ใครต้องการให้จับ ถ้าผิดกฎหมายก็จับดำเนินคดี มีคนบางคนต้องการให้คสช.จับ พอจับเเล้ว ก็จะได้ไปฟ้องโลก ไอ้ขี้เท่อ ประเทศชาติเสียหาย ผมก็กลัวเหมือนกัน กลัวคนอื่นเขาไม่ชอบแล้วจะตีหัวเอา ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ทหารตำรวจ แต่คนเขารังเกียจพวกเหล่านี้ขึ้นเรื่อยๆ เเล้วจะให้ประท้วงกันแบบนี้หรือ คราวที่เเล้วก็เอาพวงหรีดมา มันทำให้ประชาชนเดือดร้อน ถ้าท่านเชื่อเขาก็ตามใจ ผมบังคับท่านไม่ได้อยู่เเล้ว แต่ผมต้องการให้คิดถึงประเทศชาติ ประเทศต้องการอะไร ครอบครัวเราต้องการอะไร อนาคตเราต้องการอะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า อย่าให้มีการบิดเบือน และขอให้ไว้ใจซึ่งกันและกัน เอาความจริงใจเข้าหากัน เพื่อเดินหน้าประเทศต่อไปให้ได้ ตนรับไม่ได้ หากจะให้ประเทศกลับไปเป็นเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม เราต้องขยายเมืองออกไปจากเมืองหลวงแล้วไปสู่ภูมิภาคเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และขอประกาศชัดต่อกำนันผู้ใหญ่บ้านว่าหากมีใครอ้างชื่อ เพื่อเรียกผลประโยชน์ขอให้มาบอก ตนจะจัดการให้ กำนันผู้ใหญ่บ้านเองจะต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโซเชี่ยลมีเดียบ้าง เเต่ไม่ใช่ว่าจะเชื่อทั้งหมด ไม่เช่นนั้นจะเป็นบ้า การดูละคร หรือความบันเทิง จะต้องมีสิ่งอื่นมาถ่วงดุล แต่วันนี้มีหนังสือพิมพ์ เช่น วันเสาร์ อาทิตย์ เนื้อข่าวนำเสนอเรื่องของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ โดยตนก็เสียใจด้วย เเต่ก็มีรูปผู้หญิงอยู่ด้วย ถามว่ามันสมควรไหม 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ถามผู้เข้าร่วมประชุมว่า “ปทุมธานีว่าไง วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง วิทยุชุมชน เบาบางลงไหม พวกเอารถไปรับคนเป็นอย่างไรบ้าง หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเอง ก็ไม่มีปัญหา กำนันผู้ใหญ่บ้านต้องส่งแผนงาน ให้สส.เป็นผู้นำเสนอ จากนั้นรัฐบาลจะจัดลำดับความเร่งด่วน ผมสัญญาว่าจะคืนความสุขให้ทุกท่าน เเต่จะต้องคืนให้ทุกกลุ่ม ไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มเดียว ทุกคนต้องร่วมมือเพื่อความสำเร็จ ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมใจดีกับทุกคน เเต่คนที่ทำผิดกฎหมาย ผมไม่ดีด้วย ทุกคนต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง อย่ามาทะเลาะกันกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง”