ปรับลง

ปรับลง

เก็บสะสมหุ้นกลุ่มรับเหมา พลังงานปลายน้ำ อสังหาฯ อาหาร และวัสดุก่อสร้าง ที่ราคาไม่แพงและมีพื้นฐานดี มี story หนุนเป็นรายตัว

UOBKH แนวโน้มตลาดวันนี้ โดย ยศพณ แสงนิล, CFA : ปรับลง

ตลาดไทยเมื่อวานนี้มีปริมาณซื้อขายเบาบางและทรงตัวได้ดีเหนือ 1300 จุด ด้วยแรงหนุนจากกลุ่มแบงก์ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์คาดวันนี้ตลาดไทยจะปรับลง มีโอกาสหลุดแนวรับ 1300 จุดจากปัจจัยลบคือ ราคาน้ำมันดิบที่ย่อลงแรงอีกครั้ง หลังการประชุมระหว่างซาอุและเวเนซุเอล่าไม่เกิดข้อสรุปเรื่องการลดกำลังการผลิต และความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและยุโรป ตลอดจนปัญหาเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลงต่อเนื่องของเหล่าแบงก์ใหญ่ในยุโรปยังคงเป็นแรงกดดัน สำหรับผลกระทบต่อดัชนี SET เราให้น้ำหนักต่อปัจจัยต่างประเทศ 80% ปัจจัยภายในประเทศ 20% และแนะนำทยอยขายทำกำไรหากดัชนีอยู่เหนือ 1300 จุด เพื่อรอรับใหม่เมื่อดัชนีย่อลงใกล้หรือต่ำกว่า 1290 จุด

แนวรับ/แนวต้าน : 1300/1320 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60%

กลยุทธ์ : เก็บสะสมหุ้นกลุ่มรับเหมา พลังงานปลายน้ำ อสังหาฯ อาหาร และวัสดุก่อสร้าง ที่ราคาไม่แพงและมีพื้นฐานดี มี story หนุนเป็นรายตัว หลีกเลี่ยงกลุ่มพลังงานต้นน้ำและสื่อสารไปก่อน

นักลงทุนระยะสั้น : CI (2.80), BR (8)

CI (2.80) โดยเราคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการตั้งกอง REIT โครงการศรีพันวามูลค่า 1 พัน 4 ร้อยล้านบาท และมีรายได้และกำไรโตก้าวกระโดดในไตรมาส 4 ปี 58และไตรมาส 1 ปี 59 รวมไปถึงทั้งปี 59 จากการโอนคอนโดและโครงการบ้านเดี่ยวตามนโยบายกระตุ้นการโอนของรัฐบาลในปีนี้

BR (8) เป็ดน้อยกำลังเติบโตเป็นเป็ดใหญ่ ด้วยการเริ่มขยายกำลังการผลิตที่จังหวัดสระแก้วในปีนี้ และการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินโดนีเซียในไม่ช้านี้ จะช่วยขยายตลาดส่งออกของ BR อย่างชัดเจน นอกจากนี้เราคาดราคาเป็ดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 58 และคู่แข่งจะแข่งขันในเชิงราคาน้อยลง นอกจากนี้ยังมีการเจรจากับโอปองแปงและ Mcdonalds ผลิตอาหารประเภทเป็ดใหม่ๆ gross margin สูงใกล้ๆ 30% น่าลองไปชิมดูนะครับ

นักลงทุนระยะยาว : SYNTEC (3.80), CK (34)

SYNTEC (3.80) สำหรับหุ้นรับเหมาขนาดเล็กตอนนี้ Top pick ของเราเป็นหุ้นพื้นฐานดี ปันผลมั่นคงคือ SYNTEC มี margin สูงและมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่อง ทำให้งบไตรมาส 4 จะดีต่อเนื่องจากงบไตรมาส 2และ3 ที่ดีอยู่แล้วโดยทั้งปี 58 การรับงานทั้งปีจะสูงใกล้เคียง 1 หมื่นล้านบาทถือว่าเติบโตชัดเจนจากปีก่อน นอกจากนี้ยังมีแผนประมูลงานเพิ่มอีกในช่วงระยะสั้นนี้ได้แก่งาน CPN, NOBLE, SUPALAI บวกกับแผนการขยายส่วนต่อรถไฟฟ้าของรัฐบาลระยะยาวก็ช่วยให้มีการสร้างคอนโดเพิ่มและประมูลงานก่อสร้างเพิ่ม ทำให้มีรายได้มาเพิ่มระยะสั้นถึงยาวให้ SYNTEC

CK (34) (1)Mega projects เช่นรางคู่และการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มจะช่วย earnings ให้เติบโตสูง 15% ในปี 2559 (2)การควบรวมกิจการของบริษัทลูก BMCL & BECL (3)นอกจาก projects ของรัฐบาลยังมีโครงการของบริษัทลูก เช่น CKP มีโครงการน้ำบาก (Hydroelectric dam) ในประเทศลาว 1หมื่น7พันล้านบาท กำลังเจรจาน่าจะเซ็นสัญญา Q1 ปี 2559 (4)Q3 & Q4 ของปี 2558 sale & earnings ไม่ค่อยดี แต่โครงการ mega projects จะชัดเจนมากขึ้นปี 2559 ทั้งการประมูลและการก่อสร้างจริง ดังนั้นช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเริ่มเก็บสะสม CK (5)ราคาปัจจุบันให้ upside สูงกว่าคู่แข่งทั้ง ITD และ STEC


ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการลงทุน

ปัจจัยภายในประเทศ

+ น.ส.อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในปี 2559 ว่า บริษัทชั้นนำของโลกหลายรายมีแผนจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งการขยายการลงทุนของบริษัทที่มีฐานการผลิตในไทยแล้ว และโครงการลงทุนของนักลงทุนรายใหม่ โดยเป็นผลมาจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่และนโยบายส่งเสริมคลัสเตอร์ที่มุ่งเน้นสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สร้างนวัตกรรม และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

+ สมรภูมิค้าปลีกไทยระอุ ทีซีซี กรุ๊ป ปักธงเบอร์ 2 "ไฮเปอร์มาร์เก็ต" ได้เปรียบ อำนาจต่อรองสินค้า ช่องทางขาย ปูทางอนาคต "ต่อยอด" ขยายอาณาจักรค้าปลีก ด้าน "บิ๊กซี" เดินหน้าทุ่ม 7 พันล้าน สยายปีกปรับปรุงธุรกิจ ทางด้านนายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย เปิดเผยหลังกลุ่มคาสิโน ฝรั่งเศส ออกมาประกาศว่าได้ขายหุ้นที่ถือในบิ๊กซีทั้งทางตรงและทางอ้อมกว่า 58% เป็นเงินเบื้องต้นกว่า 1.22 แสนล้านบาท ให้กลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ว่า สิ่งที่กังวลก็คือ การที่กลุ่มนายเจริญมีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จากเป็นผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ไปสู่ธุรกิจค้าปลีก โอกาสเกิดการกีดกันการค้าสินค้าคู่แข่ง โดยเอื้อให้กับสินค้าแบรนด์ของตัวเองมีความเป็นไปได้สูง อาจถึงขั้นแบ่งขั้วซัพพลายเออร์จำหน่ายสินค้าให้กับเทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี

- สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รายงานวิเคราะห์ผลกระทบของไทยจากการที่คณะกรรมการบริหารของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้มีมติใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ 0.1% ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบอาจทำให้เกิดสงครามค่าเงิน เพราะเงินเยนอ่อนค่า เงินหยวนจีนก็อ่อนค่าเช่นกัน และ 2 ประเทศนี้ก็พึ่งพาการส่งออก ส่งผลให้สินค้าไทยไม่สามารถส่งไปญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันกับสินค้าจากญี่ปุ่นและจีนในประเทศที่สามด้วย

ปัจจัยต่างประเทศ

- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวันทำการล่าสุดที่ 16,027.05 จุด ร่วงลง 177.92 จุด หรือ -1.10%

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (8 ก.พ.) โดยตลาดดิ่งลงติดต่อกัน 2 วันทำการเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หรือไม่ ยังได้กดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคาร

- ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวลง 158.70 จุด หรือ 2.71% ที่ 5,689.36 จุด

ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงสองวันติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (8 ก.พ.) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรปและตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากความผันผวนในตลาดน้ำมัน

+ ดัชนีนิกกอิปิดพุ่งขึ้น 184.71 จุด หรือ 1.10% แตะที่ 17,004.30 จุด

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่ผันผวนของสหรัฐช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป

+ สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดร่วงลง 1.2 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ที่ระดับ 29.69 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (8 ก.พ.) หลังจากมีรายงานว่าการประชุมระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานซาอุดิอาระเบียและเวเนซุเอลานั้น ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการใช้มาตรการลดกำลังการผลิตเพื่อกระตุ้นราคาน้ำมัน