ทูตพม่าเข้าพบสภาทนายความ สู้คดีเกาะเต่า

ทูตพม่าเข้าพบสภาทนายความ สู้คดีเกาะเต่า

ทูตพม่าเข้าพบสภาทนายความสู้คดีเกาะเต่า อาจเลื่อนคำร้องอุทธรณ์ไปอีก 30 วัน เหตุรายละเอียดเยอะต้องศึกษาอย่างรอบคอบ

นายอู วิน หม่อง เอกอัครราชทูตพม่า ได้เดินทางเข้าพบนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความฯ นายสุวิทย์ เชยอุบล อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการ นายสุนทร พยัคฆ์ อุปนายกฝ่ายช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย  ให้การต้อนรับกรณีจำเลยชาวพม่า 2 คน ที่ต้องหาว่าทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ จนถึงแก่ความตายที่เกาะเต่า โดยทางสภาทนายความฯมีประกาศเรื่องการสื่อสาร และทำความเข้าใจกับชาวเมียนมาร์ ต่อกระบวนการยุติธรรมไทย มอบให้กับเอกอัครราชทูต นำไปแปลเป็นภาษาพม่า เพื่อทำความเข้าใจต่อประชาชนชาวพม่าต่อไป

นายเดชอุดม กล่าวว่า ขอขอบคุณเอกอัครราชทูตที่กรุณาเดินทางมาเยี่ยมสภาทนายความฯอีกครั้ง ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศก็เข้าใจกันดี โดยสาเหตุการประท้วงที่ผ่านมานั้น ทางเอกอัครราชทูต กล่าวว่า อาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา สำหรับตอนนี้มีการเตรียมการสู้คดี โดยการยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาล ซึ่งมีระยะเวลากำหนด 30 วัน หลังจากมีคำพิพากษาออกมา ซึ่งตอนนี้ทางสภาทนายความฯ ก็มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาคำพิพากษา ทำให้ระยะเวลา 30 วัน อาจไม่เพียงพอ ก็จะทำการขอเลื่อนต่อศาล ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาก็มีคดีที่เลื่อนลักษณะดังกล่าวจำนวนหนึ่ง

 นายเดชอุดม กล่าวอีกว่า ทางเอกอัครราชทูต มีความเห็นใจคณะทำงานของสภาทนายความฯ ซึ่งลงพื้นที่ 26 ครั้ง ทั้งนี้สภาทนายความฯมีหน่วยงานที่ช่วยเหลือประชาชน ทำงานให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ทางเอกอัครราชทูต ได้บอกให้สภาทนายความฯแจ้งงบค่าใช้จ่าย เพื่อจะแจ้งรัฐบาลพม่าให้งบสนับสนุน สำหรับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์นั้น อาจจะใช้เวลา 1-3 ปี ซึ่งทางคณะทำงานก็ได้นำเรียนเอกอัครราชทูตทราบแล้ว ตนยินดีที่ได้รับความไว้วางใจ เพื่อความบริสุทธิ์และความยุติธรรมในชั้นศาลอุทธรณ์ ก่อนหน้านี้ก็มีการตั้งคณะทำงาน เตรียมทนายที่เชี่ยวชาญคดีทนายเตรียมพยานหลักฐาน ทนายในท้องที่เกิดเหตุทั้งหมด 3 ชุดในการสู้คดีในศาลชั้นต้น แต่เมื่อมีคำพิพากษาออกมา ก็เคารพในคำตัดสินของศาล ได้นำเอาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวิเคราะห์ทางข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง จุดเกิดเหตุ วิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนว่า มีอะไรขาดตกบกพร่อง นำมาใช้สู้ต่อในศาลอุทธรณ์ได้ โดยทางสภาทนายความฯจะยืนหยัดสู้ให้กับชาวพม่า 2คนตามที่พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้กระทำความผิดในกรณีนี้ 

นายเดชอุดม กล่าวด้วยว่า ตอนนี้ก็ต้องมาพิจารณาว่า คำแถลงปิดคดีของฝ่ายจำเลยนั้น แม้จะมีการชี้ข้อสงสัยให้ศาลไปพิจารณา แต่ข้อสงสัยบางอย่างก็ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก  ซึ่งทางศาลอาจไม่ได้มองเห็นอย่างที่สภาทนายความฯเข้าใจหรือมองไปอีกทางหนึ่ง ในเรื่องนี้ทางสภาทนายความฯต้องมาพิจารณาถึงข้อสงสัยว่ามีรายละเอียดอย่างไรที่จะทำให้ศาลอุทธรณ์เข้าใจ เพราะคดีมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง ก็หวังว่าศาลอุทธรณ์จะมีความเข้าใจในเรื่องราวของคดีนี้เป็นอย่างดีจนมีคำพิพากษาอย่างที่ควรจะเป็น

นายเดชอุดม กล่าวต่อไปว่า วันที่ 11ม.ค.นี้ทางคณะทำงานจะรวบรวมความเห็นเข้าที่ประชุมของชุดทำงานใหญ่ เพื่อตรวจสอบประเด็นข้อกฎหมายและรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับการขอเลื่อนคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาลนั้น เพื่อความรัดกุมและให้เวลาคณะทำงานเพียงพอ ก็เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีความน่าเชื่อถือ สำหรับนานาประเทศที่มีคดีในประเทศไทย สำหรับการรื้อฟื้นคดีนั้นต้องมี 3 เหตุด้วยกันคือ 1.พยานบุคคลที่ให้การการเบิกความนั้น เป็นพยานเท็จ

2.พยานบุคคลที่ศาลรับฟังมีหลักฐานปลอมไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง

และ 3.ถ้ามีพยานหลักฐานใหม่ที่แสดงว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด 3 ข้อนี้สามารถรื้อฟื้นคดีใหม่ได้ ทางเอกอัครราชทูตก็ยินดีที่จะช่วยเหลือโดยเฉพาะข้อ 3และทางสภาทนายความฯขอประกาศว่าหากใครมีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของจำเลยทั้ง 2 คนสามารถยื่นเรื่องให้กับสภาทนายความฯได้

ขณะที่นายสุนทร กล่าวว่า ตนมีโอกาสลงพื้นที่ และทางผู้พิพากษาในศาลชั้นต้น มีการจดบันทึกรายละเอียดในคดีอย่างละเอียดมาก ทั้งการซักของทนายจำเลยต่อพยานฝ่ายโจทย์ตอนที่มาเบิกความใหม่ ทางสภาทนายความฯสามารถนำรายละเอียดส่วนนี้มาเขียนคำอุทธรณ์ต่อไป โดยในบางประเด็นไม่ได้มีการกล่าวไว้ในคำพิพากษา ทางสภาทนายความฯสามารถหยิบยกมาใช้สู้คดีได้

ด้านนายสุวิทย์ กล่าวว่า การยื่นขอเลื่อนคำอุทธรณ์ต่อศาลนั้น จะเลื่อนครั้งละ 30 วัน หากคณะทำงานเห็นว่าเขียนเสร็จก็ไม่ต้องขอเลื่อน แต่ถ้ายังไม่เสร็จก็ต้องขอเลื่อนเพราะคดีมีอัตราโทษสูงสุดจึงต้องพิจารณาเป็นอย่างดี และอาจขออำนาจศาลให้ย้ายจำเลยทั้งสองมาที่เรือนจำในกรุงเทพมหานครเพื่อให้เอกอัครราชทูตและคณะทำงานสะดวกในการเข้าพบเพื่อปรึกษาเรื่องคดีได้ง่ายกว่าเดิม

นายอู วิน หม่อง กล่าวว่า ขอขอบคุณทางสภาทนายความฯและจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และเห็นควรให้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ตนในฐานะตัวแทนประเทศพม่าก็มอบหมายให้ทางสภาทนายความฯยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่อตามกระบวนการยุติธรรม เพราะจำเลยทั้ง 2คนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย และตนเชื่อมั่นในฐานะเพื่อนบ้านอย่างใกล้ชิดกับประเทศไทย หวังว่าในชั้นศาลอุทธรณ์จะมีการดูแลคดีนี้เป็นอย่างดี