'สิรินทร์ (แดง) พัธโนทัย' สัมพันธ์ทูตใต้ดิน ‘ไทย-จีน’

'สิรินทร์ (แดง) พัธโนทัย' สัมพันธ์ทูตใต้ดิน ‘ไทย-จีน’

หลังฉากความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนสะท้อนผ่านปากของ“สิรินทร์ (แดง) พัธโนทัย” ที่ยืนยันว่า เรื่องทั้งหมดเริ่มตั้งแต่ 60 ปีที่แล้ว

ขณะที่หน้าประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการได้ระบุถึงความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนว่า เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1975 หรือ 40 ปีที่แล้ว โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับนายกฯ โจว เอินไหล แต่ทว่าในความเป็นจริง ย้อนกลับไป 20 ปีก่อนหน้าสัญญาฉบับดังกล่าวนั้น ได้มีสัมพันธ์ลับทางการทูตระหว่างสองชาติผ่าน “เครื่องบรรณาการมีชีวิต” โดยสองพี่น้องชาวไทย วรรณไว พัธโนทัย และ สิรินทร์ พัธโนทัย ได้ถูกส่งตัวไปอยู่ภายใต้การดูแลในฐานะบุตรบุญธรรมของโจว เอินไหล ด้วยวัยเพียง 12 และ 8 ปี

เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างความสัมพันธ์ทางการทูตแบบลับๆ ที่เข้มข้นครบรสในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งบนจุดยืนทางแนวคิดการเมืองของทั้งสองประเทศ สุทธิชัย หยุ่น ที่ปรึกษากองบก.เครือเนชั่น บุกไปเคาะประตู “บ้านสิรินทร์” ย่านเอกมัย ของ สิรินทร์ (แดง) พัธโนทัยพร้อมพูดคุยถึงประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญที่น้อยคนจะรู้

แม้ในภายหลัง สิรินทร์ จะได้เขียนบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตไว้ในหนังสือ The Dragon's Pearl หรือ ‘มุกมังกร’ ในฉบับภาษาไทย แต่ระหว่างการพูดคุยของทั้งคู่ ได้ปรากฏเรื่องราวน่าสนใจที่ถูกซ่อนไว้ระหว่างบรรทัด...

ที่สองชาติไทย-จีน ฉลองความสัมพันธ์ 40 ปีนั้น ความจริง คือ 60 ปี ?

เมืองจีนมีสุภาษิตบอกว่า หน้าหนาวเวลาน้ำแข็งมันจะแข็งตัว 3 เมตรได้มันไม่ใช่ความเย็นของหนึ่งคืน ก็เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน ความสัมพันธ์ทางราชการเป็น 40 ปี อันนี้แน่อน ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 101 ที่ได้เซ็นสัญญาสัมพันธไมตรีกับจีน แล้วก็เป็นประเทศสุดท้ายที่ท่านนายกฯ โจว ได้เป็นผู้ลงนามเซ็นสัญญา

ใช่ครับ ผมจำได้ เพราะตอนนั้น ผมเป็นนักข่าวได้ติดตามคณะของนายกฯ คึกฤทธิ์ไปด้วย และได้เห็นภาพประวัติศาสตร์ที่โจว เอินไหล และนายกฯ คึกฤทธิ์ เซ็นเอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นนั้น

คุณถือเป็นคนๆ หนึ่งที่ได้เห็น นายกฯ โจว แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ สำหรับตัวแดงเอง ก็รู้สึกว่า มีบุญมาก เพราะไม่เพียงแต่เห็นเฉยๆ แต่ได้อยู่กับท่านมา และครอบครัวพัธโนทัย ก็คงจะเป็นครอบครัวเดียวในโลกที่ได้อยู่ ได้สัมผัส และได้เป็นลูกเลี้ยงของผู้นำคอมมิวนิสต์จีนรุ่นแรก

และได้ผ่านมรสุมการเมือง ได้ผ่านช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมกับท่านมาด้วย

ค่ะ (หัวเราะ) มีไม่กี่ท่านนะคะที่ได้พบกับท่านและยังมีชีวิตอยู่ แต่ครอบครัวที่เคยพบ เคยอยู่ เคยได้รับการเลี้ยงดูมา และมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องจากคุณพ่อ (สังข์ พัธโนทัย) มาถึงแดง จากแดงมาถึงลูก และจากลูกมาถึงหลาน อันนี้ในโลกมีที่เดียว ซึ่งครอบครัวเราก็เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งใช้เวลาสร้างประเทศมา 60 กว่าปี

ความสัมพันธ์ของการทูตไทย-จีน ระยะหนึ่ง คือ ระยะประชาชนกับประชาชน ในขณะที่คอมมิวนิสต์จีนเพิ่งสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่มีเพื่อนเลย ถูกอเมริกา ถูกใครต่อใคร รวมทั้งเรา(ไทย) ส่งทหารไปห้อมล้อม

ในระหว่างที่ทางจีนไม่มีทางที่จะออกไปสู่สายตาโลกได้ ท่านนายกฯโจว ท่านเป็นผู้มีความอัจฉริยะ คือจะทำยังไงที่จะให้ชาวโลกได้รู้ว่า เรา(จีน)คือใคร ท่านก็หาวิธีที่ให้ได้สัมผัสทุกวิถีทาง วิธีหนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน ความสัมพันธ์ที่จะสามารถละลายความไม่เข้าใจกันได้ง่ายกว่าที่รัฐบาลจะมานั่งคุยกัน

สมัยนั้นเมืองไทยเราเลือกที่จะอยู่กับสหรัฐฯ ถ้าพูดถึงประวัติศาสตร์ เราเดินทางถูกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันคุณพ่อ ท่านเป็นทั้งอาจารย์ นักประวัติศาสตร์ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ แต่จุดสำคัญคือ เป็นนักเรียนที่ชอบศึกษา เป็นนักโฆษณาการที่สำคัญของประเทศไทย

ตอนนั้นบ้านเรามีนโยบายโดยทั่วไป คือ ทำยังไงจะขจัดจีน เมื่อต่อต้านจะมีใครที่เก่งเรื่องการทำโฆษณาเกินคุณสังข์ พัธโนทัย ก็มีการทำระดมพล แต่ท่านเป็นนักศึกษาที่ต้องการรู้ความจริงของโลก แต่พอท่านไปได้สัมผัส พ่อพูดว่า เราเข้าใจเขาผิดหรือเปล่า ในภาพพจน์ของพ่อหรือคนทั่วไป โจว เอินไหล หรือจีน เป็นพวกคนจากในป่า ครั้งนั้นที่นายกฯโจว ออกมาสู่เวทีโลก ท่าทีหน้าตาหล่ออยู่แล้ว นิ่มนวลมาก

ตอนนั้นท่านโจวเอางิ้วจีนไปพูดเรื่องความรัก ใครๆ ก็คิดว่า เป็นไปไม่ได้ แต่ท่านทำ ก็มีฝ่ายที่ทำโฆษณาเขียนเล่ามาเลยว่า เรื่องเป็นยังไง เขียนมา 3 ฉบับ เอาไปให้นายกฯโจวดู ท่านโยนทิ้ง บอกว่า อ่านไป 2 วรรคยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไร ให้ไปเขียนมาใหม่ สรุปว่าท่านก็ให้พูดไปเลยว่า นี่คือ “โรมิโอจูเลียตของประเทศจีน” แล้วเอาไปแจกที่การประชุมที่เจนีวา

คุณสังข์ไปรู้จักได้ยังไง และก้าวแรกของการส่งคุณแดงและพี่ชายไปเป็นยังไง คือคิดเหมือนยุคอยุธยาไหมที่เป็นการส่งไปเป็นตัวประกัน ?

คุณพ่อประทับใจทุกอย่างที่นายกฯโจวทำ ตั้งแต่นั้นท่านก็เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์จีน แล้วก็ฟังวิทยุตลอดเวลา Voice of America อะไรฟังหมด เสร็จแล้วก็ได้ข้อสรุปว่า ยังไงอเมริกาเราก็ต้องเก็บไว้ เราต้องพึ่งเขา เขามีให้เรา ตอนนั้นเราเป็นศูนย์กลางของ SEATO (Southeast Asia Treaty Organization - องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ด้วย

คุณสังข์พยายามจะเสนอว่า ยังไงเราคบอเมริกาแน่นอน แต่อีกมือนึงเราต้องสัมพันธ์กับจีน ?

ใช่ เพราะหลังจากที่ศึกษา รู้สึกว่าเขาอยู่ใกล้บ้าน เราเป็นทั้งพี่ทั้งน้อง ฉะนั้นเป็นหัวข้อที่คุณพ่อได้ทำการศึกษา และพยายามที่จะค้นหาทางที่จะปกป้องประเทศไทยจากอันตราย

คุณพ่อก็คุยกันกับท่านจอมพล ป. พ่อให้ไอเดียว่า ทำไมเราไม่ใช้ความที่สากลยอมรับความสามารถของท่านพระองค์วรรณ (พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า วรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) ให้เป็นประโยชน์ ให้ท่านไปร่วมประชุม (การประชุมเอเชีย-แอฟริกา หรือ การประชุมบันดุง) ในฐานะ observer ก็เป็นความคิดที่อัจฉริยะมาก

ส่วนท่านนายกฯโจว ท่านก็อยากจะเป็นเพื่อนกับศัตรูมากกว่าเป็นเพื่อนกับคนที่เลียท่าน ท่านก็อยากจะรู้มากว่า ไทยเนี่ย ปัญหาอยู่ตรงไหน จะได้ทำความเข้าใจผิดให้กระจ่างขึ้น ท่านจึงหาวิธีเชิญพระองค์วรรณไปที่บ้านพักท่าน ท่านนายกฯโจวก็ทำใหญ่มาก ทุกคนต้องไปตัดสูท ขณะที่ตอนนั้นประเทศจีนยังยากจนอยู่

คืนนั้นพระองค์วรรณประทับใจมาก กลับมา ท่านพูดกับคุณพ่อว่า.. ไอ้สังข์เอ๋ย ใครบอกว่าเขาเป็นโจร นี่มัน Lord of England ตั้งแต่นั้นคุณพ่อก็เลยเริ่มคิดว่า เอ จะเข้าเมืองจีนยังไง ตอนนี้ท่านวรรณได้เปิดทางแล้ว ท่านนายกฯ โจวก็ได้ส่งของขวัญมาให้ท่านจอมพล ป.

(ตอนนั้นมี พ.ร.บ. ต่อต้านคอมมิวนิสต์แล้ว ?) มี แต่ยังไม่แรง แล้วก็ฝากของขวัญมาให้คุณพ่อด้วย โดยที่ไม่เคยเห็นไม่เคยเจอกันเลย ทุกคนก็ประทับใจมาก

คุณสังข์ ไปที่บันดุงด้วย?

ไม่เคยไป แต่ท่านพระองค์วรรณเล่าถึง ซึ่งตลอดชีวิตที่ลูกๆ โตอยู่กับท่านนายกฯ โจว คุณพ่อกับนายกฯ โจว ไม่เคยได้เจอกัน นี่คือความสัมพันธ์อันแท้จริง ตั้งแต่นั้นคุณพ่อก็เลยใช้โอกาสนี้พูดถึงนโยบายว่า ที่เราเดินมาเนี่ยอันตราย เพราะถ้าเราล้ม ทางจีนเข้าใจเราผิดขึ้นมา เดี๋ยวจะช้าไป

เราใส่ไข่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียวไม่ได้

ไม่ได้ อันนี้เป็นความอัจฉริยะของผู้นำแต่ละยุค ซึ่งทำให้ประเทศไทยยืนอยู่ด้วยขาของตัวเองอย่างมีศักดิ์ศรี

พ่อคิดว่า ทำยังไงถึงจะได้เข้าเมืองจีน ไปหาท่านนายกฯ โจว ท่านนายกฯ ป. ก็บอกว่า แกไปทำอะไรก็ได้ ผมให้คุณเป็นผู้บุกเบิกประเทศจีน แต่อย่ามายุ่งกับผม หมายความว่า สังข์เดินหน้าไปเลย

คุณพ่อได้ไปคุยกับคุณอารี ภิรมย์ให้ช่วยเหลือหาคนติดต่อในการเดินทางเข้าประเทศจีน ซึ่งที่ฮ่องกงยังมีช่องทางหลงเหลืออยู่ คุณลุงอารีเดินทางไปพร้อมกับท่านสอิ้ง มารังกุล ท่านอัมพร (อัมพร สุวรรณบล) และกรุณา กุศลาสัย เพื่อหาช่องทางก่อนเดินทางต่อไปมาเก๊า เพราะทางโปรตุเกสไม่ค่อยยุ่งอะไร แล้วที่นั่นก็มีทางผ่านเข้าจีนที่จูไห่ เพื่อดำเนินภารกิจให้เรียบร้อยก่อน จอมพลป. และคณะออกเดินทางอย่างเป็นทางการไปที่ย่างกุ้งอีก 1 อาทิตย์ต่อมา

หลังจากเข้าจูไห่ คณะก็เข้าไปยังกวางเจาจนหาคนติดต่อกับทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อนจะบินไปปักกิ่งเพื่อประสานงานกับทางท่านนายกฯ โจว เอินไหลว่า สังข์ พัธโนทัยได้รับมอบหมายเป็นภารกิจพิเศษจากท่านจอมพล ป. โดยตรงว่า เกี่ยวกับเรื่องเมืองจีนให้ผ่านสังข์ พัธโนทัยแต่เพียงผู้เดียว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนายกฯโจวท่านก็เข้าใจทันที

ความหมายลึกซึ้งในการมาของคณะนี้ ก็คือ สังข์ พัธโนทัย จะติดตามคณะท่านนายกฯ มาด้วยไปทำการเยือนพม่าเป็นทางการโดยที่ภารกิจของคุณสังข์ไม่มีอะไรเลย เพียงแต่จะมาเซ็นสัญญากับตัวแทนประเทศจีน ขอให้ทางรัฐบาลจีนส่งตัวแทนไปเซ็นสัญญากับคุณสังข์ ท่านก็จัดพบประธานเหมาทันที ซึ่งท่านประธานเหมาบอกว่า ต่อไปนี้เราจะให้นายกฯโจวเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับสังข์ พัธโนทัย ซึ่งก็คือตัวแทนของท่าน จอมพล ป.

จากนั้นคุณพ่อก็ถึงย่างกุ้ง ไปกับคณะทางสถานทูตจีนเขาก็คงตะแลปแก๊บกันรวดเร็วมาก เขาก็ได้ข่าวแล้วว่า คณะนี้มานี่ มีภารกิจพิเศษ หารายชื่อจากกระทรวงต่างประเทศ ตอนนั้นพม่าเขาก็ดีมาก ขออะไรได้หมด อยากจะขอรายชื่อคนไทยที่มากับท่านจอมพล ป. มีใครบ้าง อ้าว.. ไม่มี สังข์ พัธโนทัย

ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องกุกันหรือเปล่า

ใช่ ทางจีนก็ เอ๊ะ มันอะไรกัน ถ้าทางรัฐบาลส่งมาอย่างนี้แล้วก็มอบหมาย ท่านนายกฯโจวก็บอก เราจะมอบหมายให้ท่าน เหยา จ้งหมิง ท่านเอกอัคราชทูตของจีนที่ประจำพม่า ซึ่งท่านก็เป็นคนที่มีคุณวุฒิสูงมากในการปฏิวัติของจีน ให้ท่านผู้นี้เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนเป็นผู้ร่วมเซ็นสัญญากับคุณสังข์ พัธโนทัย แต่ยังหาตาสังข์ไม่เจอ

ทางนี้ เพราะกลัวว่า อเมริกาจะอ่อนไหวมาก คุณพ่อก็เลยต้องระวังตัวอย่างมากๆ ก็ไม่มีรายชื่อ แต่ไปถึงที่นั่นเลย ไปพร้อมกับคณะ แต่แยกโรงแรมกันอยู่ วางแผนจะไปสถานทูตจีน เคาะประตูเลยก็ไม่ได้ สมัยนั้นพม่าก็มีคนของไต้หวัน ใครต่อใครรอดูอยู่ ก็เลยลงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษรับสมัครเป็นผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายข่าวกรองจีนพอเขาเห็นชื่อ เลื่อน บัวสุวรรณ เช้าวันนั้น เท่านั้นแหละ เลขาเอกของสถานทูตเขาก็มาติดต่อสมัครงาน ก็เลยเจอกัน

นั่นก็คือ ที่มา ที่ไป ที่กำเนิดของเอกสารอันสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ไทย-จีน ระหว่างประชาชนกับประชาชนในเดือนธันวาคม 1955 ซึ่งเริ่มจากฉบับนี้เป็นฉบับแรก

ความหมายที่เราพูดกัน 60 ปี คือมาจากเอกสารฉบับนี้ ?

ใช่ วันนั้นหลังจากเซ็นแล้วก็มีการตกลงกันว่า แล้วจะติดต่อยังไงกันต่อไป จากนี้ สังข์ พัธโนทัย อยากจะให้มีการไปมาหาสู่กันบ้าง ก็ได้คุยกันถึงวิธีการเพราะต้องทำกันในทางลับ ต่อไปนี้ถ้ามีชื่อ สังข์ พัธโนทัย ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก อีกอย่างการติดต่อจะเป็นระหว่าง โจว เอินไหล กับ สังข์ พัธโนทัย โดยตรง

คุณสังข์นี่ใช้ชื่อจีน ?

ไม่ คุณพ่อไม่มีชื่อจีน เขาก็เรียกนายซั่ง

ความสัมพันธ์ระหว่าง สังข์ พัธโนทัย กับ นายกฯ โจว ถือว่าเป็นสายสัมพันธ์ระหว่าง ประชาชน กับ ประชาชน ?

การสื่อสารระหว่าง 2 ประเทศ ก็ผ่าน คุณสังข์กับท่านายกฯโจว ฉะนั้นจะมีหนังสือจากท่านนายกฯโจวถึงนายสังข์ตลอดเวลา ซึ่งจดหมายเหล่านี้ทางประเทศจีนบางส่วนก็อาจจะถูกทำลายไปกับการปฏิวัติต่างๆ นานา แต่จดหมายท่านนายกฯ โจวถึงคุณพ่อ คุณแม่ได้เก็บเอาไว้ บางส่วนก็เสียหายไปบ้าง เพราะในฐานะท่านเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตัวเอง ตอนนั้นอุดมการณ์ของท่านก็คือ เราจะต้องเปิดความสัมพันธ์อันดีกับจีน ท่านก็ยืนหยัดหัวชนฝา จะต้องทำอันนี้

ทั้งๆ ที่มีความเสี่ยง...

ไม่ใช่ว่า ท่านเป็นคอมมิวนิสต์นะ ไม่เคยเป็น แต่เพื่อความมั่นคง และปลอดภัยของประเทศไทยที่จะอยู่รอดระหว่างแคมป์คอมมิวนิสต์กับแคมป์ทุนนิยม หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขึ้นมา บ้านเราก็จะมีตำรวจ ทหารเข้ามาทีเป็นกองทัพเลย ค้นทุกอย่าง คุณแม่ ด้วยความที่เป็นภรรยานักการเมืองแล้วรู้ว่าสามีกำลังทำงานใหญ่ เป็นงานของชาติ ผ่านมรสุมไม่ทราบเท่าไรแล้ว คุณแม่ก็นำเอกสารพวกนี้ บางส่วนก็ใส่ถุงพลาสติก ใส่ตุ่มฝังดิน ถึงได้เก็บไว้ถึงทุกวันนี้ เสียดายรูปเราไม่มีแล้ว คุณแม่คิดไว้ก่อน ทำให้ครอบครัวเราได้รู้สึกว่าได้ให้คุณค่าอย่างสูงกับของทางประวัติศาสตร์

ถือเป็นส่วนสำคัญของการพลิกประวัติศาสตร์ประเทศไทยเลยนะครับ

ใช่ค่ะ มรสุมต่างๆ ที่เราได้ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีพรสวรรค์ มีโชคตลอด

ไม่คิดว่า CIA เขาตรวจสอบหรือว่าเขาหาข่าวเรื่องนี้ ?

หามาก เขาอยู่ฮ่องกงเลยนะคะ แต่ดูความแนบเนียนของคุณสังข์ มีเอกสารเป็นการติดต่อระหว่างท่านเอกอัครราชทูตอเมริกากับเพนตากอนแล้วกับไวท์เฮาส์สมัยนั้น รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าใครทำ ไม่มีชื่อสังข์เลย เพราะไม่ได้ออกหน้า ไม่ได้อยู่ในรัฐบาล ที่เขาไปสงสัยคือคุณพ่อท่านชาติชายบ้าง ผิดหมด

แสดงว่างานราชการ CIA จับไม่ได้?

หลังๆ อาจจะจับได้นิดนึงก็เปลี่ยน พอสัมพันธ์ไปๆ คุณพ่อก็รู้ข่าว ปิดก็คงปิดไปไม่ได้นาน กระดาษจะปิดไฟนี่มัน นะ..คงจะยาก แล้วก็อีกอย่างการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยสมัยนั้นก็สัมพันธ์กับมหาอำนาจมาก เราก็ครอบครัวเล็กๆ ประเทศเราก็เล็กๆ แต่เราก็มีบทบาทที่มหัศจรรย์ในสังคม จริงๆ ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อมีลูกชายคนโต พี่มั่น โซเวียตมาติดต่อจะให้ไปเรียนที่มอสโค เลี้ยงดูอย่างดี เพราะเขารู้ว่า อะไรก็คืออะไร ขณะเดียวกัน อเมริกาก็เชิญให้ส่งไปอเมริกา แย่งตัวกัน สุดท้ายคุณพ่อเลือกอเมริกา แล้วก็ลูกชายคนที่ 2 ก็ไปเมืองจีน อเมริกากับจีนเขาเป็นศัตรูกันเป็นเวลา 10 กว่าปี เราพี่น้องก็ไม่ต้องเจอกัน อยู่กันคนละขั้ว

ทีนี้คุณพ่อก็มานั่งนึก การเมืองไทยนี่ผันผวนอยู่ตลอด ความสัมพันธ์ไทย-จีนยังคงต้องใช้เวลา ถึงแม้ว่าสมัยที่คุณพ่ออยู่ อีกไม่กี่เดือนจะลงตัวด้วยหลายปัจจัย ด้วยกัน ทีนี้คุณพ่อเขาก็คิดว่าคงไม่กี่เดือน แต่ว่าก็มองเห็นว่า ความผันผวนมันมีเยอะ คงจะต้องเป็นระยะยาว คือ ท่านก็เป็นนักประวัติศาสตร์ อ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา ประเทศเล็กๆ อย่างเราเคยส่งลูกหลานไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่เขาดูแล เขาอยากจะตีเรา แต่เขาก็ไม่ตี ก็เสนอไปอย่างนั้น

ในหนังสือที่คุณพ่อเขียนถึงท่านนายกฯ อยากให้ลูกไปอยู่เมืองจีน ศึกษาวัฒนธรรมจีน เพื่อที่จะได้มีความสัมพันธ์อันดีกับจีนอย่างลึกซึ้งเพื่อความสัมพันธ์ยาวนานที่จะมีต่อกัน ปรากฏว่าท่านนายกฯโจว ตอบมา ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก คุณพ่อพูดไว้คำหนึ่งว่า เอาเนื้อในหัวใจผมตัดให้ท่าน ฉะนั้นอย่าตีพวกเรา คล้ายๆ กับว่า เป็นของขวัญที่เชื่อมใจทางมหาอำนาจไว้ จุดสำคัญอยู่ตรงนี้

นี่ต้องใจกล้ามาก เพราะว่าเอาลูกตัวเองไปอยู่กับศัตรูเลย พูดง่ายๆ

ใช่ค่ะ แต่หลังจากที่ท่านได้ศึกษาท่านนายกฯโจว ได้ศึกษาอะไรพอสมควร ถ้าไปอยู่กับตาสีตาสาท่านก็คงไม่ส่ง ที่ใจเด็ดสุดคือคุณแม่ ผู้ที่เห็นสิ่งที่สามีกำลังทำอยู่ แล้วก็รู้ว่าทางผู้ใหญ่จีนก็ต้องดูแลถ้าส่งไปในระดับนี้ อีกอย่างจุดสำคัญคือ ส่งไปแล้วไม่นานก็คงจะกลับ ไม่ได้คิดกันว่าจะไปเรียนหรือจะไปไหน คิดแต่เพียงว่าในระหว่างที่เราก็ไม่สามารถอธิบายในจีนได้ว่าทำไมเราต้องด่าคุณทุกวัน ทำไมเราจะต้องส่งคนไปกลับมาแล้วต้องจับเข้าคุก คือไทยใช้วิธีนี้ ที่คุณพ่อบอก ผมตัดเอาเนื้อก้อนในหัวใจผมมอบให้

ตอนนั้นอายุเท่าไหร่

8 ขวบ พี่ไวก็ 12 เอาพี่ไวไป เพราะเขาชื่อดี ชื่อของท่านพระองค์ไว แล้วเป็นลูกชายไปเพราะท่านจอมพล ป. บอก ไวไปเป็นตัวแทนปู่นะ อย่างนี้เลย แล้วให้ปากกาปาร์คเกอร์ด้ามนึง นายวรรณไวจดใหญ่ ใช้ปากกานั้นคุ้มมากเลย (ยิ้ม) เขามีความรู้สึกว่าเป็นตัวแทนท่านจอมพล ป. แม้จะอายุ 12 แต่ก็โตในครอบครัวการเมือง เห็นคนไปๆ มาๆ ตลอด เราก็ไม่รู้เมืองจีนเป็นยังไง แดงฟังได้คำเดียวพี่ไวจะไปเรือบิน โธ่ นี่มันปี 1956 มีเด็กไทยนั่งเรือบินมีไหม เราก็อยากจะอวดเพื่อนไปเรือบินเพิ่งกลับมา ยืนหยัดมาก จนพ่อมานั่งคิด ก็ไม่เลว ไปสองคนพี่น้องจะได้เป็นเพื่อนกัน สรุป คุณพ่อก็เลยจัด นายกฯโจวก็ยินดีต้อนรับ

พอเราขึ้นเรือบินครั้งแรก ออกจากกรุงเทพฯ ก็อยากจะกลับบ้านแล้ว 4 ใบพัดนี่มัน เมาตลอดทาง จากกรุงเทพไปย่างกุ้ง ผ่านมัณฑะเลย์ แวะเต็มน้ำมันที่คุนหมิง จากนั้นก็ไปปักกิ่ง ก็เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตในจีน 13 ปี บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านรับรองของรัฐบาลจีน เป็นของแมนจูใหญ่ สมัยขุนนางจีนใหญ่ ก็สนุกค่ะ 2 ปีที่เราอยู่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง คุณแม่ก็มาเยี่ยม

คุณพ่อไม่เคยไป ?

ไม่เคย เขายุ่ง ระหว่างนั้นเขายุ่งมาก อยากจะเร่งความสัมพันธ์ แต่พอเร่งจนเกือบจะสำเร็จก็มีการเมืองขึ้นมา จอมพลสฤษดิ์ขึ้นมา ท่านนายกฯโจวบอกเราว่า นี่แหละเป็นเวลาที่พวกเธอกลับไม่ได้ พวกเธอกลับไปก็ยิ่งจะทำความลำบากกับคุณพ่อ และครอบครัว ซึ่งทางเราได้เชิญคุณพ่อมาลี้ภัยที่เมืองจีนแต่ว่าท่านไม่ยอมมา เนื่องจากว่า ท่านบอกว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด อยากจะต่อสู้ อยากรักษาศักดิ์ศรีและความถูกต้อง อยากจะอยู่ประเทศไทย ก็เลยมอบตัว เขาเลยต้องสร้างคุกลาดยาวให้คุณพ่อ และพรรคพวก (หัวเราะ) สมัยนั้นนี่ เป็นสมาคมเลย เหล่าคนดังแห่งประเทศไทย นักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ ต้องสร้างคุกโดยเฉพาะ (ยิ้ม) แล้วผู้ที่อ่านหนังสือของคุณพ่อ โดนหมด ไปอยู่กัน 2,000 กว่าคน

ที่น่าสังเกตก็คือ สมัยจอมพลป. เนื่องจากนโยบายที่คุณพ่อ และท่านจอมพลป. เป็นมิตรกับศัตรู หรือที่จีนเดินกับเรามา เป็นเพื่อนกับศัตรู ซึ่งก็อาจจะเอาลูกศัตรูมาเลี้ยง นี่ความคิดของผู้นำ 2 ประเทศ ใกล้เคียงมาก ในระหว่างนั้น ถึงได้เกิดเป็นพวกเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครหรอกค่ะ

ถ้าผมเป็นโจวเอินไหล แล้วไม่ได้คิดอย่างโจว ผมต้องสงสัยว่าคุณมาเป็นสปายแน่นอน หรือมองว่า คุณส่งไปเพื่อรับใช้ศัตรูหรือเปล่า ทั้ง 2 ฝ่ายก็มีสิทธิที่จะมองอีกด้านหนึ่ง เพราะเนื่องจากใจกว้าง และเข้าใจถึงการทูต

และก่อนที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จะขึ้น ประเทศไทยเราไม่มีปัญหาเรื่องคอมมิวนิสต์ กองโจรที่เกิดขึ้นที่ฐานทัพภูพาน อะไรต่ออะไรสมัยนั้น เกิดสมัยจอมพลสฤษดิ์ ใช้นโยบายปราบปราม มีมาตรา 17 ประหารชีวิตเลย แล้วคนไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์น่ะ ขอให้มีอะไรหน่อย คอมมิวนิสต์ทีเดียวก็จบแล้ว แบบนี้ มันเลยทำให้ประเทศไทยโจรชุกชุมทั่วไปหมด ด้วยกองทัพกองโจร อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ศึกษาได้ แต่สมัยจอมพลป. ไม่มี เนื่องจากว่าเรามีการติดต่อ การทูตแบบประชนชนที่จูงใจทั้ง 2 ฝ่ายเอาไว้ ก็เลยทำให้กองโจรไม่มีเกิด

การทูตทางประชาชน หรือที่ไม่เป็นทางการ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนในช่วงนั้น มันช่วยให้ท่าทีที่จีนมีต่อไทยไม่แรง

อ่อนลง

ตอนนั้นที่อยู่กับพี่ชายสัมผัสได้ไหม

ไม่รู้เรื่องเลย (หัวเราะ) รู้แต่เมื่อไหร่จะกลับบ้านเท่านั้นแหละ (ยิ้ม) ค่อนข้างที่จะมารู้สึกอะไรก็ตอนที่คุณพ่อถูกจับ ที่ท่านนายกฯโจวมาบอกว่ายูกลับไม่ได้แล้ว ผมจะดูแลพวกคุณอย่างดีที่สุด ตั้งแต่จุดนั้นอาจจะเป็นหายนะอย่างหนึ่งในชีวิตครอบครัว และชีวิตการเมืองของคุณพ่อ แต่ก็กลายเป็นบุญอย่างหนึ่งที่ตกให้กับลูก ก็คือ พี่ชาย กับตัวเราเอง คือ ท่านนายกฯโจวได้เปิดประตูบ้านท่าน และเปิดวงการเมือง ความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรแล้ว จากความสัมพันธ์ประชาชนต่อประชาชนอะไรก็แล้วแต่ ท่านนายกฯโจวก็รับพวกเรา... คงจะสงสารน่ะ

คือความเป็นมนุษย์แล้วล่ะ ไม่ได้มองการเมืองแล้ว

ทุกคนมองประเทศจีน บางทีผู้นำจีนสมัยนั้นว่าเป็นคนโหดร้าย แต่สิ่งหนึ่งที่เรากับพี่ชายคิดอยู่ตลอดก็คือ เราก็โตมาด้วยความรัก การดูแลของผู้ใหญ่จีน ซึ่งมีมนุษยธรรมมาก ซึ่งเขาจะเอาเราเก็บไว้ทำไม ถ้าเราไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว แต่ท่านกลับมารับเรา แล้วเอาเข้าสู่อ้อมอก แล้วก็ยังเปิดประตูวังให้เข้าไปอยู่ในหมู่... กลุ่มที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศ แล้วกลุ่มอำนาจอันนี้ ไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าไปอยุ่ในนั้นที่เป็นชาวต่างประเทศ นี่ก็ต้องถือว่าเป็นขุมทรัพย์ของตระกูลพัธโนทัย ยิ่งแก่ลงยิ่งรู้สึก (หัวเราะ)

มันเป็นประสบการณ์ที่หายากยิ่ง

ถ้าเราไม่แก่ มันระลึกไม่ถึงนะ เราไม่เข้าใจไง นี่ก็พยายามถ่ายทอดให้ลูก นี่มันสำคัญนะ เดี๋ยวต่อไป ไม่ต้องรอแก่แบบนี้ แล้วค่อยมาตระหนัก มันก็จะช้าไปแล้ว (ยิ้ม)

ที่ได้เข้าไปอยู่ในแวดวงนี่ก็คือครอบครัวของ...

ท่านนายกฯโจว ระดับนั้น ซึ่งตอนนั้น... คืออย่างนี้ ในพระราชวัง เป็นมหาสถานที่ใหญ่มาก ข้างในก็มีทะเลสาบตั้ง 3 ทะเลสาบ ทะเลสาบก็แยกเขตเลยของท่านประธานเหมา เขตเอ เขตบี ซึ่งตัวท่านนายกฯโจวเองก็มาอยู่เขตดีเลย ซึ่งไม่ค่อยดีมาก ปลายๆ ใกล้ๆ กำแพงบ้าน... คือ เราไปปักกิ่งที่แสนจะยากจน แสนจะไม่มีสีสัน ดูไปแล้วก็สกปรกมีแต่ฝุ่น แต่หลังโรงแรมเราก็คือพระราชวังจงหนานไห่ ตอนที่เราได้รับไป ให้เข้าพระราชวังเราก็ไม่ทราบ พอประตูนี่ โอ้โหประตูมัน มหึมามาก รถเราจอดปุ๊บ มีทหารมายืน ตอนนั้นเด็กก็รู้สึกใหญ่ (หัวเราะ) พี่ชายก็เป็นตัวแทนสั่งสอนน้อง เรามาต่างประเทศ เราไหว้แล้วเราต้องจับมือ (หัวเราะ) ก็มาสอนน้องก่อนจะถึงบ้าน ตัวแกก็ใส่ชุดนี่เท่มาก พอลงรถเห็นท่านนายกฯโจวยืนอยู่ที่หน้าประตู ด้วยความที่ท่านมีราศี และทุกความอบอุ่นให้กับเด็ก สายตาที่ทอดมานี่ เราก็เป็นเด็กที่โตมากับพ่อ อยู่ภายในสังคมที่... เดี๋ยวคุณปู่คนนั้น คุณลุงคนนี้ ที่ประเทศไทย ก็รู้สึกชิน ก็วิ่งเข้าไปหาท่าน แล้วก็กระโจนให้ท่านกอด

เหมือนไปเจอคุณลุง

ใช่ๆ ครั้งแรกเลย อะไรอย่างนั้น แล้วที่เราสังเกตมาก เป็นเด็กเวลาเข้ามาในนี้ ทำไมมันเงียบจังเลย แล้วข้างในมันสวยมากเพราะมันมีทะเลสาบ แม้แต่นกเวลามันร้องยังค่อยๆ ร้อง (หัวเราะ)

นั่นคือครั้งแรกที่เจอท่าน... แล้วท่านก็บอกว่ามาอยู่ในนี้แหละ ?

ไม่ๆ เราอยู่โรงแรมก่อน แล้วค่อยไปหาท่าน ตอนแรกก็ไม่ค่อยได้หาหรอก ก่อนที่คุณพ่อถูกจับ หลังจากที่คุณพ่อถูกจับ ท่านก็เปิดประตู แต่ไม่ไดเเข้าไปอยู่ที่นั่น เราอยู่บ้านเดิมของเราที่ท่านจัดไว้ให้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีผู้รับใช้ มีรถยนต์พิเศษ มีคนรถ อย่างเดิม

เป็นสิ่งที่นายกฯโจวแสดงสิ่งที่เป็นมนุษย์ พ่อเธอลำบาก เธอยังไม่ต้องกลับ เพราะถ้าเธอกลับไปเธอยิ่งจะทำให้พ่อเธอลำบาก อยู่นี่ต่อ

พ่อเธอมีคุณูปการในการสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างมาก นี่คือคำพูดที่ท่านพูดตลอดให้พวกเราทราบ พวกเธอจะต้องเป็นสะพาน ใช้คำว่าสะพานมาตลอดตั้งแต่พวกเราเล็กๆ พ่อเธอส่งมาก็เพราะอยากให้เธอได้เริ่มสร้างสะพานแล้ว ตอนนี้ตอกำลังขึ้น ท่านจะมีศัพท์อะไรเพราะๆ ให้เราได้ฟัง ใช้ภาษา สั่งสอนเรามา

ผมคิดว่านี่เป็นคุณสมบัติที่ทำให้ ท่านอยู่รอดมรสุมการเมืองของตัวเองด้วย

ถูกต้อง

ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ตระกูลเดียวที่อยู่กับผู้นำจีนรุ่นแรก

ที่เรียกว่าเป็น... ขุมทรัพย์ของครอบครัว ไม่ใช่เรามีความสัมพันธ์เสร็จแล้วเราไม่มีความสัมพันธ์แล้ว นี่สืบทอดมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเราพาลูกหลานกลับไปทุกปี ตอนลูกชายโจว กับลูกชายเลี่ยวเล็กๆ ก็รู้จักกับลูกหลานท่านนายพล ไปโรงเรียนเดียวกัน เขาก็ยังสัมพันธ์กันจนถึงทุกวันนี้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว หลานชาย ลูกชาย ครอบครัวก็ไปเมืองจีน ก็ไปหาครอบครัวเก่าๆ ไปรวมญาติกัน ก็น่าประทับใจ ได้เป็นตัวกลางรวมญาติก็สนุกดี

บ้านหลังนั้นวันนี้เป็นยังไงบ้าง...

อ๋อ ก็เป็นถนนไปหมดแล้วค่ะ (ยิ้ม)