'ภัยไซเบอร์'ชนวนสร้างรอยร้าวสหรัฐ-รัสเซีย

'ภัยไซเบอร์'ชนวนสร้างรอยร้าวสหรัฐ-รัสเซีย

ช่วงที่ผ่านมา หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐหลายหน่วยงานตกเป็นเป้าการโจมตีทางไซเบอร์โดยแฮกเกอร์ต่างชาติบ่อยครั้ง รวมทั้งกระทรวงการคลังและหน่วยงานด้านนิวเคลียร์ ถือเป็นการสร้างความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อรัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น

ล่าสุด "โจ ไบเดน" ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่า การโจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ และยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เป็นความผิดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างจริงจัง

“นี่เป็นความเสี่ยงที่รุนแรงและยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง จนถึงขณะนี้ผมยังมองไม่เห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าภัยคุกคามทางไซเบอร์จะสามารถควบคุมได้” ไบเดน กล่าว

นอกจากนี้ ไบเดน ยังวิจารณ์คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ที่ไม่สามารถจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วนได้ พร้อมทั้งระบุว่า ปธน.ทรัมป์รับรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด แต่ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง

“จากข้อมูลเบื้องต้นซึ่งรวมถึงข้อมูลจากไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐระบุว่า รัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมทางไซเบอร์ในครั้งนี้ ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่ารัสเซียมีประวัติอันยาวนานในเรื่องการโจมตีทางไซเบอร์ แต่รัฐบาลของทรัมป์ก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการจัดการกับเรื่องนี้” ไบเดน กล่าว

ไบเดน ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า กล่าวด้วยว่า คณะทำงานของเขาจะให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์เป็นอันดับแรก และจะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรของสหรัฐเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์และกลไกระหว่างประเทศที่ชัดเจนเพื่อบังคับใช้ รวมถึงผลที่ตามมาสำหรับประเทศที่ฝ่าฝืนกฎ

แต่ทรัมป์ ทวีตเกี่ยวกับการที่หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วและคนที่บอกว่านี่เป็นการโจมตีของแฮกเกอร์รัสเซียเป็นเรื่องไม่จริง

ส่วนบริษัทโซลาร์วินด์ส หนึ่งในผู้ผลิตซอฟต์แวร์ของสหรัฐ บอกว่าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้ส่วนใหญ่ ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทรุ่นโอไรออน และผลการตรวจสอบเบื้องต้นบ่งชี้ว่า ลูกค้าระหว่าง 18,000 ถึง 300,000 รายอาจได้รับผลกระทบ

ด้านสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน ออกแถลงการณ์ว่า การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอยครั้งนี้ มีแต่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และขัดแย้งต่อหลักการพื้นฐานของการดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้อง

ที่่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานสหรัฐ (ดีโออี) และสำนักงานความมั่นคงด้านนิวเคลียร์ (เอ็นเอ็นเอสเอ) ซึ่งทำหน้าที่ดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐ เจอหลักฐานที่บ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เจาะเข้าถึงระบบของหน่วยงาน ซึ่งเป็นการจารกรรมข้อมูลที่อุกอาจมาก หน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐาน (ซีไอเอสเอ) บอกว่าการโจมตีของแฮกเกอร์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อรัฐบาลกลางและท้องถิ่น รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและภาคเอกชน

. "เชย์ลิน ไฮเนส" โฆษกกระทรวงพลังงาน บอกว่าแฮกเกอร์ไม่ได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญ และมีการดำเนินการทันทีเพื่ออุดช่องโหว่และลดความเสี่ยงจากการแฮกรวมถึงตัดการเชื่อมต่อซอฟต์แวร์ที่ระบุว่าเสี่ยงต่อการโจมตี แต่เชื่อว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงเครือข่ายของรัฐบาลได้โดยการโจมตีบริษัทซอฟต์แวร์โซลาร์วินด์ส ซึ่งให้บริการด้านเครือข่ายระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศกับลูกค้าทั้งหน่วยงานรัฐบาลและเอกชนหลายร้อยราย

. แม้ยังไม่มีการเจาะจงถึงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นพิเศษว่าเป็นผู้ก่อเหตุ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์กล่าวว่าการโจมตีลักษณะเช่นนี้เป็นจุดเด่นของรัสเซีย ขณะที่รัสเซียปฏิเสธ ไม่มีส่วนร่วมใดๆ เกี่ยวกับการแฮกครั้งนี้

นอกจากสำนักงานด้านความมั่นคงนิวเคลียร์แล้ว กระทรวงการคลังสหรัฐ และหน่วยงานหนึ่งในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ก็ถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่างชาติเช่นกัน

โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ซึ่งยืนยันว่าเกิดเหตุโจมตีทางไซเบอร์จริง แต่ไม่ได้ระบุว่าหน่วยงานที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์เป็นหน่วยงานใด และได้ประสานงานกับสำนักงานซีไอเอสเอและสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ)ให้ตรวจสอบแล้ว