วงเสวนาการเมือง “อภิสิทธิ์” ชี้แก้การเมืองขาดดุลยภาพ ต้องสร้างวัฒนธรรม อย่าหมกมุ่นแค่กฎหมายและโครงสร้างเท่านั้น
ที่ห้องประกอบ หุตะสิงห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.ท่าพระจันทร์) วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มธ.ท่าพระจันทร์ จัดเสวนาวิชาการ “ส่องเมืองไทย: ดุลยภาพทางการเมือง ดุลยภาพทางสังคม”
โดยนายนิยม รัฐอมฤต คณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ กล่าวว่า ในช่วงรัฐบาลพลเรือนแม้จะมีความเป็นประชาธิปไตยแต่ก็มีความแตกต่าง แตกแยกภายในรัฐบาล จนนำมาสู่การเมืองที่ไม่สามารถสนองประโยชน์ให้กับประชาชนได้สมบูรณ์ ทั้งนี้การเมืองไทยเป็นการเมืองของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ทหารก็นักการเมือง พรรคการเมืองจำนวนหนึ่งก็ไม่มีการเปิดกว้าง เป็นพรรคส่วนบุคคล เป็นพรรคบริษัทจำกัด ซึ่งทำให้เกิดความเลื่อมล้ำทางสังคม การเมืองโดยคนกลุ่มนี้ ประชาชนไม่สามารถเข้ามาดูแล หรือต่อรองได้ การเมืองเช่นนี้แม้จะกล่าวอ้างว่าทำเพื่อส่วนรวม แต่ในทางปฎิบัติจะทำเพื่อตัวเขาก่อน เพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล ของพรรคเป็นอันดับแรก ก่อนจะไปทำเพื่อประชาชน ฉะนั้นการมีนโยบายเพื่อดูและประชาชน นั้นแท้จริงเป็นการเมืองเพื่ออำนาจ และการเมืองเพื่อปากท้องของประชาชนนั้นทำจริงได้น้อยมาก
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ให้นวัตกรรมใหม่ นั่นคือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง กับให้มีองค์กรอิสระคอยตรวจสอบฝ่ายการเมืองด้วย และยังกำหนดให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งมาก แต่ก็เกิดปัญหาตามมาคือการใช้อำนาจมิชอบของรัฐบาลในยุคนั้น รวมถึงแทรกแซงองค์กรอิสระและสื่อ จนทำให้เกิดการรัฐประหาร จนนำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่พยายามอุดช่องโหว่ปัญหาต่างๆ แต่สุดท้ายก็ยังไม่หลุดจากปัญหาเดิมๆ คือเรื่องการใช้อำนาจอย่างมิชอบ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อไปว่า ขออย่ามองว่าปัญหาการขาดดุลยภาพนั้น เป็นทุกประเทศ ซึ่งประเทศไทยเองถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับต่างประเทศมากๆ เพราะเราลองมาหมดเกือบทุกวิธีแล้ว อย่างเช่นเรื่องที่มา ส.ว. ทั้งเลือกตั้ง แต่งตั้ง ผสมทั้งสองวิธี รวมถึงการเปิดโอกาสนายกคนนอกแบบปี 21 ที่เคยมีประวัติศาสตร์มาแล้ว ถ้ากฎหมายใหม่ยังคงวันอยู่วิธีคิดกรอบแบบนี้ ยืนยันได้ว่าแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเราหมกมุ่น อยู่เพียงประเด็นกฎหมายและโครงสร้างเท่านั้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการสร้างดุลยภาพที่ดี คือต้องสร้างการถ่วงดุลระหว่างนักการเมืองด้วยกันเอง และนักการเมืองกับประชาชน ที่ประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับนักการเมืองที่โกง เขาก็จะเจอประชาชนกดดัน จนเขาทนแรงเสียดทานไม่ได้ก็ต้องออก บางประเทศก็อาจจะต้องเดินขบวนบ้าง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่มีทหารเข้ามา นอกจากนี้ปัญหาที่ผ่านมานักการเมืองไม่สะท้อนความเป็นประชาชน บ้างก็เห็นว่านักการเมืองคือพวกพ่อค้า หรือผู้มีอำนาจ แต่ตนเช่ือว่าต่างประเทศก็ไม่ต่างจากเรา จริงๆการแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องกระจายสายอาชีพ แต่ต้องทำอย่างไรให้เขาทำงานเพื่อประชาชน อีกทั้งยังต้องรื้อฟื้นความเข้าใจในเรื่องความเป็นเสรีนิยม ที่ไม่ได้อยู่ในกฎหมาย หรือโครงสร้างเท่านั้น หากอยู่ที่วัฒนธรรมด้วย
ด้านนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผอ.สถาบันอิศรา กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการร่างรัฐธณรมนูญ ปี 40 การเมืองไทยเป็นลักษณะของการต่อสู้กันระหว่างชนชั้นนำ ทั้งทหารและนักการเมือง ขณะที่รัฐบาลไร้เสถียรภาพ โดยทางคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้วางกรอบไว้ ในส่วนของการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยพลเมือง ซึ่งเป็นกลไกที่มีอำนาจในการต่อรอง อาทิ การล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน หรือเพื่อเสนอกฎหมายเป็นต้น โดยส่วนตนเชื่อว่า การเปิดเผยข้อมูล แต่ยังมีอุปสรรค คือ ยังไม่มีกลไกลรองรับบรรดาองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมา อาทิ กกต ที่มีองค์กรขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับประชาชน หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน ทำให้นักการเมืองที่ไม่ทำตามกติกา แทรกแซงองค์อิสระกรณีการแสดงทรัพย์สิน หรือ การจำกัดการถือหุ้น แต่ก็ต้องพบกับปัจจัยที่ทำให้ไม่เป็นไปตามกระบวนการ ขณะที่ภาคประชาชนไม่ได้มีการเตรียมตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พัฒนาขึ้นมา อย่างไรก็ตามการเมืองบนท้องถนนกลับพัฒนาขึ้นในยุคของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และ นปช. โดยเป็นการเมืองบนท้องถนนที่ไม่มีการจำกัดอำนาจ แต่ตนมองว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ดี เนื่องจากเป็นการปรับตัวของภาคประชาชนให้เข้าสู่ดุลยภาพทางการเมืองที่เหมาะสมจากการมีส่วนร่วม แต่ก็ยังคงไม่สามารถหาดุลยภาพที่เหมาะสมทางการเมืองที่เหมาะสมได้
“เจตจำนงค์เรื่องการปราบปรามคอร์รัปชั่นนั้นเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญ เพราะสาเหตุของการขาดดุลยภาพเกิดจากการช่วงชิงผลประโยชน์ โดยไม่ชอบธรรมเพือนำไปสู่ความมั่งคั่งของนักการเมือง ลองไปย้อนดูทั้งนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองที่เป็นทหาร ล้วนร่ำรวยทุกคน และผมไม่ได้เรียกร้องให้เกิดการปรับตัวของรัฐบาลหรือระบบราชการ แต่ประชาชนคือส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดดุลยภาพ โดยขั้นตอนแรกคือ นักการเมืองควรเปิดเผยข้อมูลบัญชีทรัพย์สินของตัวเองทั้งหมด เช่นเดียวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ที่เป็นช่องทางอันดับ 1 ในการก่อให้เกิดคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและเจ้าของกิจการให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งอย่างน้อย ก็สามารถช่วยแก้ปัญหาการทุจริตได้อีกทางหนึ่ง เช่นเดียวกับการเปิดช่องทางให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้อย่างสะดวกและเข้าใจได้ง่าย”