ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์”

ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์”

เคยหมั้นกันแล้วครั้งหนึ่ง แต่ถอนหมั้น แยกย้ายกันไปมีครอบครัว มีลูก ก่อนจะกลับมาแต่งงานกันในวัย 50 มาร่วมย้อนตำนานความรักโรแมนติกที่กินเวลายาวนานถึง 20 ปี ของ “เจนนิเฟอร์ โลเปซ” และ “เบน แอฟเฟล็ก” นักแสดงแถวหน้าของวงการฮอลลีวู้ดกัน

กลายเป็นตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้บทหนังฮอลลีวู้ดกันเลยทีเดียว สำหรับความรักของนักแสดงแถวหน้าวงการฮอลลีวู้ด “เจนนิเฟอร์ โลเปซ” และ “เบน แอฟเฟล็ก” ที่ต้องใช้เวลายาวนานถึง 20 ปี ผ่านการยกเลิกงานแต่งก่อนถึงพิธีเพียงไม่กี่วัน แยกย้ายกันไปมีครอบครัวของตัวเอง ก่อนจะกลับมารักกันใหม่ และได้แต่งงานในท้ายที่สุด

หลังจากที่กลับมาคบกันใหม่เมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนๆ และคนในวงการบันเทิง คู่รักระดับโลกที่สื่อตั้งสมญาให้ว่า “เบนนิเฟอร์” คู่นี้ก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกันแบบส่วนตัวที่ลาสเวกัส เมื่อวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากประกาศหมั้นกัน (รอบที่สอง) ไปได้ราว 3 เดือน

 

ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์” ภาพหวานจากงานเปิดตัวหนัง Marry Me หลังจากทั้งคู่กลับมาคบกันใหม่แล้ว Credit: VALERIE MACON / AFP

ความรักของ เจนนิเฟอร์ โลเปซ (เจโล) และ เบน แอฟเฟล็กนั้นกินเวลายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษกว่าจะลงเอยกันด้วยการแต่งงาน ทั้งคู่พบกันครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Gigli ที่เล่นด้วยกันเมื่อปี 2002 แม้ว่าหนังจะทำรายได้ไม่ดีนัก แถมยังถูกสับเละว่าเคมีไม่เข้ากัน เล่นเป็นคู่รักกันแล้วคนไม่อินตามไปด้วย แต่ปรากฎว่าเจโลและเบนกลับมาปิ๊งกันนอกจอเสียอย่างนั้น

 

ในตอนนั้นเจโลเพิ่งฟ้องหย่า คริส จัดด์ สามีคนที่สองมาหมาดๆ หลังจากนั้นเธอก็เปิดตัวเป็นแฟนกับเบนที่กำลังดังจากหนังเรื่อง Good Will Hunting แล้วพอเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันนั้น คนก็เห็นแหวนหมั้นเพชรสีชมพู 6 กะรัต สวมอยู่ที่นิ้วของเจโล

 

ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์”

ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์”

“เบนนิเฟอร์” วางแผนเอาไว้ว่าจะแต่งงานกันในเดือนกันยายน 2003 แต่ประกาศยกเลิกไปเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน โดยให้เหตุผลว่าได้รับความสนใจจากสื่อมากเกินไป แล้วพอเดือนมกราคม 2004 ทั้งคู่ก็ประกาศแยกทางกันอย่างเป็นทางการ โดยเจโลไปแต่งงานและมีลูกกับ มาร์ค แอนโทนี นักร้องละตินชื่อดัง ในขณะที่เบนมูฟออนไปสร้างครอบครัวกับ เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์

 

เป็นที่น่าสังเกตว่าถึงแม้จะแยกทางกันในแบบที่คนคิดว่าจบไม่สวย แต่เบน และเจโลกลับไม่เคยพูดจาให้ร้ายกันเลย หลังจากนั้นเจโลได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้ในปี 2016 ว่าสาเหตุที่เธอกับเบนเลิกกันก็เพราะว่าความรักของพวกเขาเกิดขึ้นในยุคที่หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ถือกำเนิดขึ้นมาพอดี การถูกปาปาราสซีไล่ตามถ่ายรูปถ่ายคลิปแทบจะทุกอริยาบทมันสร้างความกดดันให้เป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่รักกันมาก

 

แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาทั้งคู่โคจรกลับมาเจอกัน และรักกันอีกครั้ง มีคนเห็นเบนนิเฟอร์ไปมาหาสู่กันในเดือนเมษายน 2521 ตามมาด้วยการยืนยันจากแหล่งข่าววงในว่าถ่านไฟเก่าได้ลุกโชนขึ้นหลังจากที่เบน และเจนนิเฟอร์เลิกรากับคนที่ตัวเองคบอยู่ตอนนั้นพอดี

 

หลังจากนั้นปาปาราสซีก็ตามเก็บภาพทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นไปหาซื้อบ้านด้วยกัน พูดถึงกันและกันเวลาออกงาน รวมถึงพาลูกๆ ของแต่ละฝ่ายไปมาหาสู่กันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

 

จนกระทั่งในเดือนกันยายน 2021 เบนนิเฟอร์ก็ควงคู่กันออกสื่ออย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานเปิดตัวหนัง The Last Duel ของเบนที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิซ ตามมาด้วยการประกาศหมั้นกันเป็นครั้งที่สองเมื่อเดือนเมษายน 2022 ที่ผ่านมานี่เอง

 

ย้อนตำนานรักโรแมนติกไม่แพ้หนังฮอลลีวู้ดของ “เบนนิเฟอร์” ควงคู่กันเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเทศกาลหนังเมืองคานส์ 2021 Credit: Filippo MONTEFORTE / AFP

 

รายงานข่าวแจ้งว่าเบน วัย 49 และเจโล วัย 52 จดทะเบียนสมรสกันที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังจากนั้น เจโลก็ออกมายืนยันด้วยการเขียนจดหมายแจ้งข่าวการแต่งงาน พร้อมลงชื่อว่า “นางเจนนิเฟอร์ ลินน์ เอฟเฟลค”

 

“เมื่อคืนเราบินไปเวกัส ยืนเข้าแถวรอจดทะเบียนพร้อมคู่รักอีก 4 คู่ ทุกคนต่างเดินทางไปยังเมืองหลวงแห่งการแต่งงานของโลกด้วยกัน เราเกือบไม่ได้ทำพิธีที่โบสถ์แต่งงานสีขาวขนาดเล็กในช่วงเที่ยงคืน พวกเขาใจดีมากที่ยอมเปิดล่วงเวลาออกไปนิดหน่อย ให้เราได้ถ่ายรูปในรถคาดิลแลคเปิดประทุนสีชมพู ซึ่งมีหลักฐานยืนยันว่าราชาเคยใช้เอง (แต่ถ้าเราอยากให้เอลวิสมาแสดงตัว จะต้องจ่ายพิเศษ แถมเขายังเข้านอนไปแล้วด้วย)"

 

รายงานข่าวแจ้งว่าเจโลนั้นสวมชุดที่เคยใส่ในหนังเก่าเรื่องหนึ่ง ในขณะที่เบนสวมแจ็คเก็ตที่มีอยู่ในตู้เสื้อผ้าของตัวเอง

 

“เราอ่านคำสาบานของเราในโบสถ์เล็ก และสวมแหวนให้กัน เราจะสวมมันไปตลอดชีวิตที่เหลือของเรา สุดท้ายแล้วมันเป็นงานแต่งงานที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะนึกฝันถึงได้”