รพ.รามคำแหงพลิกโฉม! ลุยสร้างเครือข่ายอันดับ 2 ของไทย ตอบทุกการดูแล

“กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง” พลิกโฉมสู่การเติบโต มุ่งสร้างเครือข่ายอันดับ 2 ของไทย “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแลสุขภาพ”
KEY
POINTS
- ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่รักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
- กลุ่มรพ.รามคำแหง ปรับภาพลักษณ์สะท้อนตัวตนผ่าน 4 ด้านหลัก รองรับความต้องการของทุกการดูแลรักษา ด้วยความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัย
- เน้นป้องกัน -ดูแล-รักษาปัญหาสุขภาพ อาทิ โรคหัวใจ สมองและระบบประสาท หูคอจมูก และมะเร็ง ด้วยการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่น ๆ
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง หรือ RAM Hospital Group หนึ่งในเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ด้วยประสบการณ์กว่า 37 ปี และพันธมิตรโรงพยาบาลกว่า 46 แห่งทั่วประเทศ มุ่งสร้างเครือข่ายเป็นอันดับ 2 ของไทย ที่ให้บริการรักษาพยาบาลมาตรฐานสูงในทุกสาขา ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยและความเชี่ยวชาญจากทีมแพทย์เฉพาะทาง เดินหน้าสานต่อเจตนารมณ์ผู้ก่อตั้ง ภายใต้วิสัยทัศน์ “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล” ให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์มาตรฐานสากล คาดการณ์การเติบโต 40% จากปีก่อนหน้า
ด้วยแรงหนุนการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในโรงพยาบาลพันธมิตร ลุยปรับภาพลักษณ์รองรับความต้องการคนรุ่นใหม่ ที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสถาบันทางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาค ที่พร้อมดูแลสุขภาพในทุกมิติของชีวิต ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เน้นเพียงการรักษาโรค พร้อมร่วมสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพ (Healthcare Ecosystem) ที่ครอบคลุม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทย ในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ของภูมิภาค (Medical Hub) ที่ดึงดูดผู้ป่วยจากทั่วโลก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เปิดกลยุทธ์ลงทุนกลุ่ม "RAM" สู่บริษัทย่อย เพิ่มอำนาจบริหารปักธง 'Medical for All'
จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ตอบทุกการดูแลรักษา
นพ. พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหารบริษัท กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง (Resilience) ในการยืนหยัดผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ด้วยรากฐานที่มั่นคงเราไม่เพียงแต่ดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความเป็นเลิศทางการแพทย์ ที่เรามุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการรักษาพยาบาลอย่างไม่หยุดยั้ง
โดยเฉพาะการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Centers of Excellence) ที่หลากหลายและทันสมัย อาทิ ศูนย์โรคหัวใจ ที่เรามีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่งในการรักษาหลอดเลือดหัวใจอุดตันโดยไม่ต้องผ่าตัด การรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมไปถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพหัวใจและปอด อันเป็นการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบครบวงจร อีกทั้งยังมีศูนย์สมองและระบบประสาท และศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน
กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงยังนำเทคโนโลยีขั้นสูงมายกระดับบริการทางการแพทย์ เพื่อผลลัพธ์ในการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย เช่น เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด (Robotic Surgery) การผ่าตัดแผลเล็ก (Minimally Invasive Surgery) และบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชันและบริการออนไลน์ที่เข้าถึงผู้ป่วยได้โดยตรง เพื่อดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้แม้จะอยู่นอกโรงพยาบาล พร้อมขยายบริการสู่ด้านการดูแลเชิงป้องกัน (Preventive) และสุขภาพองค์รวม (Wellness) เพื่อตอบโจทย์แนวโน้มสุขภาพของโลกยุคใหม่
มาตรฐานสากล ดูแลอย่างครบวงจร
ขณะเดียวกันการขยายเครือข่ายพันธมิตรเพื่อสร้างสรรค์พลังร่วม (Synergy) ด้วยการร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลพันธมิตรชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลสินแพทย์ และโรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งล้วนเป็นโรงพยาบาลมาตรฐานสากล (Joint Commission International: JCI), มาตรฐาน AACI และมาตรฐาน HA
ทำให้มีจุดแข็งระบบการส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือข่าย ที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและตรงจุด ศักยภาพนี้ทำให้กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง พร้อมก้าวสู่การเป็น Medical Hub ที่สำคัญของไทย ซึ่งปัจจุบันเรามีผู้ป่วยต่างชาติที่ให้ความไว้วางใจเข้ารักษา โดยเฉพาะในโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม และโรงพยาบาลสุขุมวิท สะท้อนถึงความพร้อมในการรองรับผู้ป่วยนานาชาติ
“เป้าหมายของเรามากกว่าแค่การเป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจร แต่คือการยกระดับมาตรฐานสาธารณสุขของไทย พร้อมมุ่งเน้นการดูแลคุณภาพชีวิต (Well-being) ผ่านการแพทย์เชิงป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟู เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวขึ้น ด้วยความพร้อมของเครือข่ายโรงพยาบาลพันธมิตรและการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ชั้นนำของภูมิภาคที่มีศักยภาพดึงดูดผู้เข้ารับบริการจากทั่วโลก อันเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้และชื่อเสียงให้กับประเทศไทย” นพ.พิชญ กล่าว
ผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของไทย
ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ กล่าวว่า ยังคงยึดมั่นในวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งที่ต้องการดูแลประชาชนเป็นสำคัญ เพื่อให้บริการผู้ป่วยทุกกลุ่มทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 30 บาท ประกันสังคม และผู้ชำระเงินเอง
ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่ง “ตอบทุกความต้องการ เชี่ยวชาญทุกการดูแล” โดยมีการผสมผสานมุมมองทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้เรายังคงเดินหน้าลงทุนในลักษณะ Brownfield, M&A และ Partnership
โดยเน้นการเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี (Thonburi Hospital Group) ทำให้ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 46 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนเตียงรวม 7,800 เตียง นับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศไทย ทั้งนี้ คาดการณ์การเติบโตทั้งเครือในปีนี้ 40% จากปีก่อนหน้า
เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมสุขภาพ และกลุ่มผู้เข้ารับบริการคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น เราจึงวางกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ “RAM 2.0, The New Era of Ram Hospital Group” ต่อยอดจากความเชื่อของผู้ก่อตั้ง เข้ากับแนวทางการดำเนินงานยุคใหม่ ได้แก่ Clinical Excellence ยกระดับขีดความสามารถทางการแพทย์ ผ่านเทคโนโลยีและบุคลากรระดับแนวหน้า
Network Synergy สร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบในเครือข่าย, Asset Optimization เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินทรัพย์, Strategic Expansion เดินหน้าการลงทุน การควบรวมกิจการ (M&A) ผ่านการลงทุนในบริษัทย่อย, ESG Commitment ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
“การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ตั้งอยู่บนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านสุขภาพ ผ่านความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมทางการแพทย์ เครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศช่วยให้ผู้เข้ารับบริการเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง ส่งมอบประสบการณ์การรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่ อันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพ (Healthcare Ecosystem) ร่วมสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทย ในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการแพทย์ระดับภูมิภาค (Medical Hub) ที่สามารถดึงดูดผู้เข้ารับบริการได้จากทั่วโลก” ดร. ฤกขจี กล่าว
เปลี่ยนผ่านจาก Sick Care สู่ Health Care
นายทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาด โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกว่า 95% เป็นคนไทย ทั้งนี้ ภายใต้การ Rebranding เพื่อขยายฐานผู้รับบริการกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยเฉพาะการดูแลเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness) ก่อนป่วยมากขึ้น รวมถึงรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมสูงอายุ
เราจึงมุ่งเน้นปรับเพิ่มการให้บริการที่เปลี่ยนผ่านจาก Sick Care สู่ Health Care ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการแพทย์ (Digital Health & Innovation) อาทิ AI, Telemedicine, Big Data และอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพ มาเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัย การรักษา และการให้บริการที่ไร้รอยต่อ
อย่างไรก็ตาม หลายปีที่ผ่านมากลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนโรงพยาบาลในเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และการเป็นพันธมิตรกับโรงพยาบาลชั้นนำต่างๆ รวมถึงการขยายสู่ระดับภูมิภาค
"การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง ที่สะท้อนตัวตนของเราทั้งในด้าน Caring, Trusted, Expertise และ Collaborative ผ่านความหลากหลายของเครือข่ายที่เรามี เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความคาดหวังสูงขึ้น ทั้งในด้านคุณภาพการรักษาโรคซับซ้อน เทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และประสบการณ์ที่ดีจากการเข้ารับบริการ"
ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่รักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ไปจนถึงการฟื้นฟู การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ของเรา จึงถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารว่าเราพร้อมเป็น สถาบันทางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาค ที่พร้อมดูแลสุขภาพในทุกมิติของชีวิต ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เน้นเพียงการรักษาโรค
ตรวจสุขภาพ ได้รับการวินิจฉัย รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ
ศาสตราธิคุณ นพ.วสันต์ อุทัยเฉลิม อายุรแพทย์ด้านหัวใจหัตถการรักษาหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่าผู้ป่วยโรคหัวใจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากและต่อเนื่องในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของโลกและในไทย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ก่อเกิดโรคหัวใจ มาจากความดันโลหิตสูงและเบาหวาน พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ขาดการออกกำลังกาย, การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ, การสูบบุหรี่ไฟฟ้าและการขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคและอาการที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านสุขภาพในปัจจุบันเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งโรคประจำตัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต สังคมผู้สูงอายุ และมลภาวะ การตระหนักรู้ การสังเกตร่างกาย และการเข้ารับการตรวจคัดกรองแต่เนิ่น ๆ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันและรักษาโรคให้มีประสิทธิภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
พญ.สุธิดา เย็นจันทร์ แพทย์ประสาทวิทยา ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่าแนวโน้มของผู้ป่วยโรคสมองและระบบประสาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยป่วย ได้แก่ การเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เช่นเดียวกับหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, ความดันสูง, ไขมันสูง ที่ควบคุมได้ไม่ดี อาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์
รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาทิ การนอนน้อย ซึ่งพบได้ในทุกวัย ทั้งผู้สูงอายุ วัยหนุ่มสาวจากความเครียดและการทำงานหนัก , การเสพติดเทคโนโลยีและหน้าจอจากมือถือ, คลิปสั้นในติ๊กต็อก ทำให้สมาธิสั้นลงและลดความสามารถในการรับรู้ข้อมูลยาว ๆ และปัจจัยอื่น ๆ อย่าง แอลกอฮอล์,สารเสพติดและความกดดันทางสังคม
"หู คอ จมูก" โรคใกล้ตัวที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
พญ.ลลิลทิพย์ เอียดช่วย โสต ศอ นาสิกวิทยา ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่าปัญหาหู คอ จมูก เป็นโรคใกล้ตัวและมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น เนื่องจากอวัยวะเหล่านี้ถูกใช้ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้มีมลภาวะฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้หรืออาการกำเริบซ้ำ ขณะที่การใช้หูฟังและรับชมเนื้อหาออนไลน์ตลอดเวลา ทำให้เซลล์ประสาทถูกคุกคาม และนำไปสู่ปัญหาการได้ยินก่อนวัยอันควร รวมทั้งการเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อม เช่น ภูมิแพ้, ไข้หวัดใหญ่ที่นำไปสู่ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
"ควรให้ความสำคัญของการรักษาโรคที่เกี่ยวกับหู คอ จมูก ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะปัจจุบันมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ ๆ เช่น การใช้บอลลูนขยายไซนัส ที่ช่วยให้ฟื้นตัวเร็ว และหากทิ้งไว้จนรุนแรง อาจต้องผ่าตัดและใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า อีกทั้งควรมีการฝึกหายใจที่ถูกต้อง เนื่องจากคนในปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการหายใจ"
ทั้งนี้ ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้องทางหู คอ จมูก โรงพยาบาลรามคำแหง เป็นหนึ่งในศูนย์แรกๆ ของประเทศไทยที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านนี้มายาวนานกว่า 10 ปี โดยมุ่งยกระดับการผ่าตัดให้มีความปลอดภัยสูงสุด และมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถผ่าตัดได้ทั้งเคสทั่วไปและเคสซับซ้อน ผ่านช่องทางธรรมชาติของร่างกาย รวมทั้งมีเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ เครื่อง PTR (Parathyroid Tracking System): สำหรับติดตามการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์แบบเรียลไทม์ระหว่างผ่าตัด ช่วยลดความเสี่ยงภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เป็นต้น
รักษาแบบเฉพาะบุคคล ดูแลสุขภาพแบบองค์รวม
พญ.คิ ฤกษ์ชูชิต อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา ศูนย์สุขภาพเชิงบูรณาการ โรงพยาบาลรามคำแหง กล่าวว่าปัจจุบันอัตราการเกิดมะเร็งพบในผู้ป่วยมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่มักจะตรวจพบในระยะลุกลาม ทำให้สภาพร่างกายแย่ลง การทำงานของอวัยวะ, การหายใจ และมีข้อจำกัดในการรักษา โดยอาจต้องผ่าตัด, เคมีบำบัด และภูมิคุ้มกันบำบัด รวมถึงขาดการตรวจคัดกรองเชิงรุก ดังนั้น การดูแลและป้องกันไม่ให้ตนเองเกิดมะเร็ง หรือโรคนั้น เมื่อเจ็บป่วยหรือมีอาการควรไปพบแพทย์
"การตรวจคัดกรองสุขภาพเป็นประจำมีความสำคัญมาก โดยความถี่ในการตรวจขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงและผลการตรวจครั้งแรก(เช่น หากมีสิ่งผิดปกติควรตรวจซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ อาจเป็นทุก 6 เดือน หรือเร็วกว่านั้นหากมีความผิดปกติมาก"
การรักษาโรคมะเร็งนั้น จะมุ่งเน้นการรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment) ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ความรุนแรงของโรค และความสามารถในการทนต่อการรักษาของผู้ป่วยแต่ละราย และ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ที่ไม่ใช่แค่การดูแลรักษาเมื่อเจ็บป่วย (Sick Care) แต่เป็นการดูแลสุขภาพทั้งหมด
โรงพยาบาลรามคำแหงมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีล้ำสมัย และแนวคิดการดูแลแบบองค์รวม เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในสังคม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือติดตามความเคลื่อนไหวของโรงพยาบาลรามคำแหงได้ที่เว็บไซต์ www.ram-hosp.co.th และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/ramhospital







