แกะกล่องของขวัญปีใหม่ให้นักลงทุน

แกะกล่องของขวัญปีใหม่ให้นักลงทุน

เฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปี 2024 ถึง 3 ครั้ง  นับเป็นของขวัญปีใหม่ชิ้นใหญ่แก่นักลงทุนทั่วโลก เริ่มตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคม และจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2025 ด้านเงินเฟ้อทั่วโลกจะทยอยปรับลง นับเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีอีกหนึ่งชิ้น

เรากำลังจะผ่านไปอีกหนึ่งปีที่ตลาดการลงทุนเผชิญกับความผันผวนไม่น้อย เริ่มต้นจากความกังวลว่าเศรษฐกิจจะถดถอย รุนแรง ตามด้วยวิกฤตสภาพคล่องของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และยุโรป ทางฝั่งจีน ก็สร้างความผิดหวัง เพราะเศรษฐกิจยังชะลอตัวแม้เปิดประเทศแล้ว และยังถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตภาคอสังหาฯ หลังจากนั้นก็มีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ปะทุขึ้นมาในตะวันออกกลางทั้งสงครามอิสราเอล-ฮามาสในฉนวนกาซา ตามมาติดๆ ด้วยกลุ่มกบฏฮูตีโจมตีเรือสินค้าทางตอนเหนือของทะเลแดงทำให้ต้นทุนในการขนส่งพุ่งสูงขึ้นและอาจกระทบห่วงโซ่อุปทานอีกครั้ง

ที่น่าสังเกตคือปัจจัยเสี่ยงข้างต้นล้วนเกิดขึ้นและสร้างความกังวลเพียงชั่วคราว แต่ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดการลงทุนตลอดทั้งปี คงหนีไม่พ้นทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี พร้อมระบุว่าจะคงดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นเวลานาน สร้างแรงกดดันต่อทั้งราคาหุ้นและตราสารหนี้ แต่ในที่สุด การประชุม FED เดือนธันวาคม คณะกรรมการได้ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปี 2024 ถึง 3 ครั้ง (อ้างอิงจาก FED Dot Plot) นับเป็นของขวัญปีใหม่ชิ้นใหญ่แก่นักลงทุนทั่วโลก และทาง Lombard Odier คาดว่าทั้งปี 2024 ที่จะถึงนี้ FED จะลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1% เริ่มตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคม และจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี 2025 ด้วย ด้านเงินเฟ้อทั่วโลกก็จะทยอยปรับลงต่อเนื่องเข้าใกล้เป้าหมายของธนาคารกลาง นับเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีอีกหนึ่งชิ้น

ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2022 ทำให้ต้นทุนทางการเงินของภาคครัวเรือนและบริษัทเอกชนเพิ่มขึ้น กระทบต่อฐานะการเงินและภาพรวมเศรษฐกิจให้ชะลอลง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังสามารถรับมือได้ โดยเศรษฐกิจจะชะลอตัวแบบ Soft Landing เท่านั้น ไม่ได้เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือตกต่ำ 

แม้ได้รับของขวัญแล้ว ก็ย่อมมีความไม่แน่นอนที่ต้องจับตา โดยปีหน้าถือเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งไต้หวันช่วงต้นปี ตามด้วยอินเดียช่วงกลางปี และที่สำคัญคือการเลือกตั้งในประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ จะเวียนมาอีกครั้งในช่วงปลายปี 2024 โดยจากผลสำรวจล่าสุดพบว่านาย Donald Trump อดีตประธานาธิบดีได้รับความนิยมมากกว่านาย Joe Biden ซึ่งถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำก็จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายหลายๆ ด้าน ซึ่งจะมีผลต่อทั้งภาพรวมเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และตลาดการลงทุน

แม้ดอกเบี้ยจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงและเริ่มหนุนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงหลายประการ การกระจายเงินลงทุนในหลากหลายประเภทสินทรัพย์และทั่วโลก ประกอบกับการเลือกสรรหลักทรัพย์คุณภาพดียังคงเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการลงทุนในปี 2024 โดย 3 สินทรัพย์ ที่น่าสนใจ ได้แก่

1. ตราสารหนี้ทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากดอกเบี้ยที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง แม้ว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี จะปรับลงมาต่ำกว่า 4% หลัง FED ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่น่าดึงดูดเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง โดยนักลงทุนควรเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือ (Duration) ค่อนข้างยาว เพื่อที่จะได้ทั้งผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับและมีโอกาสได้กำไรจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยปรับลงด้วย

2. หุ้นกลุ่ม (Growth) หรือหุ้นเติบโตสูง ประกอบด้วยหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี นวัตกรรมการแพทย์ และสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ผลดำเนินงานยังแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจชะลอตัว และต้านทานต่อต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นได้ คาดว่าในปี 2024 กำไรของหุ้นกลุ่มนี้จะยังคงเติบโตได้ดี อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากในปีที่ผ่านมา จึงแนะนำกระจายลงทุนในหุ้น Growth ทั่วโลก 

3. หุ้นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจโดดเด่นมาก และได้ประโยชน์จากเม็ดเงินลงทุนของบริษัทชั้นนำของโลกที่ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาสู่ประเทศอื่น 

การสร้างขุมทรัพย์ลงทุนผ่านการกระจายลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้เชี่ยวชาญเลือกสรรหลักทรัพย์คุณภาพดีจะช่วยให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่โดดเด่นในปีที่ดีและผ่านปีที่ผันผวนโดยขาดทุนอย่างจำกัดได้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุน สวัสดีปีใหม่ค่ะ