กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ เผชิญแรงกดดันมากขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ

ตลาดหุ้นไทยน่าจะย่อตัวลงมาบ้าง ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก ในสัปดาห์ที่แล้ว (9-11 เมษายน) ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้เล็กน้อย

โดยสาเหตุสำคัญมาจากปัจจัยบวกภายในประเทศ ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะถูกกดดันจากตัวเลข CPI เดือนมีนาคมของสหรัฐที่ออกมาสูงเกินคาด ซึ่งอาจจะทำให้สหรัฐเลื่อนการลดดอกเบี้ยออกไป แต่ความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดย digital wallet ของประเทศไทยช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาได้ โดยนักลงทุนตอบรับในเชิงบวกกับข่าวที่รัฐบาลจะไม่ออก พรบ. กู้เงินมาใช้สำหรับมาตรการนี้ แต่จะใช้เงินจากงบประมาณรัฐบาลปี 2567-2568 และ การสนับสนุนทางการเงินจาก ธกส. แทน

สำหรับในสัปดาห์นี้ (17-19 เมษายน) ดัชนี SET มีแนวโน้มจะย่อตัวลง ท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการที่เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปิดสงกรานต์ยาว 5 วัน ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน ปัจจัยแรก คืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐวิ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และ ตัวเลขยอดค้าปลีกเดือนมีนาคมที่ออกมาแข็งแกร่งมาก ปัจจัยที่สอง คือความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เร่งตัวขึ้นหลังจากที่อิหร่านส่งโดรนเข้าไปโจมตีอิสราเอลในช่วงสุดสัปดาห์
แม้ว่าจะสร้างความเสียหายให้อิสราเอลเพียงเล็กน้อยก็ตาม ปัจจัยที่สาม คือสภาวะการลงทุนในประเทศจีนยังคงเปราะบาง เพราะแม้ว่า GDP 1Q67 ของจีนจะขยายตัวสูงเกินคาดที่ 5.3% YoY แต่ดัชนีเศรษฐกิจรายเดือน อย่างเช่น ยอดค้าปลีก และ การผลิตในภาคอุตสาหกรรมยังคงต่ำกว่าความคาดหมาย และกดดันตลาดหุ้นจีนเมื่อวานนี้ ส่วนทางด้านปัจจัยภายในประเทศ ตลาดตอบรับกระแสข่าวเรื่อง digital wallet และ ผลการประชุม กนง. ไปมากแล้ว และ นักลงทุนหันมาสนใจประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี

 

 

ติดตามปาฐกถาของผู้กำหนดนโยบายสหรัฐ, ปฏิกิริยาของตลาดการเงิน และ การปรับ ครม. ของไทย

ปัจจัยต่างประเทศ: ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมีนาคมของสหรัฐที่สำคัญ ๆ ออกมาหมดแล้ว และ นักลงทุนน่าจะหันไปให้ความสนใจกับปาฐกถาหลายนัดของประธาน และ กรรมการ Fed ในสัปดาห์นี้ โดยในขณะนี้ นักลงทุนต่างลดความคาดหมายเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยสหรัฐลง และคาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะมีการลดดอกเบี้ยเพียง 50bps เท่านั้น เราคิดว่าหากมีการแสดงความเห็นออกมาในเชิง hawkish มากขึ้นจะส่งผลลบกับตลาดหุ้น

ปัจจัยในประเทศ: ประเด็นข่าวในประเทศที่สำคัญคืออาจมีการปรับคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญ ๆ อย่างเช่น i) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน อาจจะนั่งควบตำแหน่งนี้เอง และ ii) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งอาจจะตั้งคุณพิชัย ชุณหวชิร ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินในภาคเอกชน/ภาคธุรกิจมาคุมกระทรวงแทน

ยังคงเน้นสะสมหุ้นในธีมเดิม อย่างเช่น global cyclical, ท่องเที่ยว และ หุ้น dividend yield สูง แต่ให้เลี่ยงหุ้นที่อ่อนไหวกับดอกเบี้ยไปก่อนในระยะสั้น

เนื่องจากเรามองว่าตลาดน่าจะย่อตัวลง และ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรในช่วงนี้พุ่งสูงขึ้น เราจึงคิดว่านักลงทุนน่าจะเลี่ยงหุ้นที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย อย่างเช่น กลุ่ม non-bank และ โรงไฟฟ้าไปก่อนและ แนะนำให้เน้นหุ้นในธีมเดิมที่เราแนะนำไว้ อย่างเช่น i) หุ้น cyclical ที่จะได้อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวได้ดี และ ตลาดน้ำมันที่ตึงตัวขึ้น (BSRC*, PTTGC* และ SPRC*) ii) หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวซึ่งจะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจีน (AAV*, AOT* และ SHR) iii) หุ้นรับเหมาเพื่อเก็งกำไรจากความคืบหน้าของ พรบ. งบประมาณปี 2567 (CK*) และ iv) หุ้นที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูง อย่างเช่น AP*, LH* และ KTB*