วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ระยะสั้นมีโอกาสเม็ดเงินไหลกลับ EM

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ระยะสั้นมีโอกาสเม็ดเงินไหลกลับ EM

ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนลงเป็นบวกต่อเงินทุนไหลเข้า แม้ระยะยาวเรายังมองเห็นความเสี่ยงของเงินทุนไหลออก ช่วงสั้นเรามองมีโอกาสที่เงินทุนจะไหลกลับตลาดเกิดใหม่

มาจาก 1) Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปที่เริ่มตึงตัว ทำให้เงินมีโอกาสไหลไปหาผลตอบแทนในตลาดอื่น 2) ความคาดหวังเชิงบวกต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2567 3) ตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติต่ำ ทำให้มีความน่าดึงดูดเมื่อเทียบกับหลายตลาด 4) ผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง ทำให้ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้น (Earnings yield gap) ปรับเพิ่มขึ้น 

คงมุมมองตลาดหุ้นไทยฟื้นช่วงปลายปี หรือเกิด Santa Clause Rally โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ 1) การเสนอขายกองทุน TESG ที่คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นปีละ 1-1.5 หมื่นล้านบาท (เทียบกับช่วง LTF ที่ 7-8 หมื่นล้านบาท และ SSF ที่ 3-4 พันล้านบาท) 2) ความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐฐาล และการเติบโตของเศรษฐกิจที่จะเร่งตัวขึ้นในปี 2567 3) ความคาดหวังนักลงทุนที่ไปลงทุนต่างประเทศ จะนำเงินกลับไทยในช่วงต้นปี 2567 เพื่อ “รีเซ็ตต้นทุน” และเงินทุนบางส่วนมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้น ซึ่งจะหนุนการเกิด January Effect ในช่วงต้นปีหน้า 4) การฟื้นตัวของหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ย หรือปรับลดลงจนใกล้ช่วงล่างค่าเฉลี่ย PER ในระยะ 5-10 ปีที่ผ่านมาแล้ว (เกิด de-rating แล้ว) ทำให้หุ้นเหล่านี้มีโอกาสฟื้นตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มการเงิน และกลุ่มค้าปลีก 
 

หุ้นกลุ่มไวต่อดอกเบี้ยและที่มีการถือครองต่ำมีโอกาสฟื้นตัวดีในช่วงสั้น ขณะที่การลงทุนในภาพใหญ่ 6-9 เดือน ยังเน้นถือครองหุ้นที่มีกระแสเงินสดดี, หนี้ต่ำ, มีผลตอบแทนเงินปันผลสูง เราคาดหุ้นที่โดนกดดันจากประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตรในระดับสูง อาทิ การเงิน, โรงไฟฟ้า, สื่อสาร, กองทุนอสังหาริมรัพย์และรีทส์ จะมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีในช่วง 1-2 เดือนนี้ อย่างไรก็ตามในภาพ 6-9 เดือน หุ้นขนาดใหญ่ที่พื้นฐานมั่นคง หนี้ต่ำ กระแสเงินสดสูง และมีการส่งผ่านปันผลให้ผู้ถือหุ้นสูง จะยังเป็นกลุ่มที่ได้รับการเพิ่มน้ำหนักจากนักลงทุน 

ภาพรวมกลยุทธ์ การกลับมายืนเหนือ 1,366 จุด ทำให้ภาพตลาดเป็นการฟื้นตัวในกรอบ 1,366-1,430 จุด โดยช่วงสั้นมีโอกาสลุ้นทดสอบ 1,400-1,430 จุด กลุ่มหุ้นที่กระแสเงินสดดีและปันผลสูง ค่อนข้างยืนได้ดีและแข็งแกรงกว่าภาพรวม จะเป็นตัวประคองตลาด และอาจทำให้หุ้นกลางหุ้นเล็ก รวมถึงหุ้นไวต่อดอกเบี้ย ฟื้นได้ดีในช่วง 2 เดือนนี้

หุ้นแนะนำ: EA*, CPALL*, AMANAH*, EPG*

แนวรับ: 1,370 / แนวต้าน : 1,400 จุด 

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

 


 

ประเด็นการลงทุนที่น่าสนใจ

คลังชงครม.ลดภาษี”ไวน์-สุราชุมชน”หนุนไทยสวรรค์นักท่องเที่ยว - อังคารนี้ ลดภาษี”ไวน์-สุราชุมชน” พร้อมยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้าทุกสนามบิน หนุนไทยเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้านสรรพสามิตระบุ แม้จะกระทบรายได้กรมฯแต่ภาพรวมรายได้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอย (กรุงทพธุรกิจ) 

‘ไฟฟ้าสะอาด’ อาวุธใหม่ ไทยใช้ดึง‘การลงทุน’จากต่างประเทศ - ไทยเราจะต้องเดินหน้าเรื่องไฟฟ้าสะอาดอย่างจริงจัง โดยจะมีการปรับแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่ปัจจุบันมีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนอยู่ที่ 28% จะเพิ่มขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยแผน PDP ฉบับใหม่นี้จะประกาศใช้ในช่วงต้นปี 2567 (กรุงเทพธุรกิจ)

สตรีมมิงแห่งชาติ เกิดช้า ซ้ำรอยเปลี่ยนผ่าน ทีวีดิจิทัล- นับถอยหลังการสิ้นสุดใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีดิจิทัล (ไลเซ่นส์) ในปี 2572 จากจำนวนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลประเภทธุรกิจ 15 ช่อง ยังเผชิญการหารายได้เม็ดเงินโฆษณาที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง (กรุงเทพธุรกิจ)

ศาลล้มละลายกลาง ยกเลิกคำสั่งฟื้นฟูกิจการ SMK“สินมั่นคงประกันภัย”- ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) (SMK) ทำให้อำนาจหน้าที่ในการจัดกิจการ และทรัพย์สินของลูกหนี้ กลับเป็นของผู้บริหารของลูกหนี้ ส่งผลให้สภาวะพักการชำระหนี้ (Altomatic Stay) สิ้นสุดลง (กรุงเทพธุรกิจ)

หุ้นติด cash balance – JTS ติด cash balance เริ่ม 18 ธ.ค. – 5 ม.ค. 67    

TESG - ในกลุ่มที่มี ESG rating AAA และ AA ที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อ ได้แก่ ADVABC, BCP, CPALL, CPAXT, CPF, CRC, PTT, SCGP, TISCO, BCPG, BDMS, CPN, EA, EGCO, MAJOR, RATCH, SCB เป็นต้น

 

ประเด็นติดตาม: 18 ธ.ค. - EU Core CPI/ 19 ธ.ค. - US Building Permit/ 20 ธ.ค. - US CB Consumer Confidence, Existing Home Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)