ทำไมการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 จึงยังจำเป็นในกลุ่มผู้สูงวัย

ทำไมการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 จึงยังจำเป็นในกลุ่มผู้สูงวัย

แม้หลายคนอาจรู้สึกว่าโควิด-19 มีอาการของโรคที่ไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่หายไปไหน การฉีดวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงความรุนแรงของโรคจึงยังจำเป็น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย

โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ที่ถูกตรวจพบเป็นครั้งแรกเมื่อเกือบห้าปีก่อน เปรียบเสมือนความทรงจำจาง ๆ แม้ว่าเราจะผ่านระยะระบาดหนักของโรคนี้ไปแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโควิด-19 ไม่ได้หมดไปและยังมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของเราเป็นระยะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการแพร่ระบาด เช่น ช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ที่ต้องติดต่อและสัมผัสกับผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วง เทศกาลสงกรานต์ ที่ผ่านมา ซึ่งใครหลายคนวางแผนเดินทางกลับบ้านเพื่อไปรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ รวมถึงการจัดทริปท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาว

ล่าสุด กรมควบคุมโรค รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ระบุว่า พบคนไทยป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องรับ เทศกาลสงกรานต์ 2567 โดยในช่วงก่อนเริ่มต้นของวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 7 มีนาคม - 13 เมษายน 2567 มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เข้ารักษาในโรงพยาบาล 846 ราย เฉลี่ยรายวัน 121 รายต่อวัน และแม้จะมีอาการไม่รุนแรงเท่ากับในอดีตโดยถูกจัดให้เป็นโรคประจำฤดูกาลไปแล้วก็ตาม แต่หน่วยงานของรัฐก็ยังคงติดตามรายงานติดตามสถานการณ์ของโควิด-19 ต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงหรือต้องติดต่อหรือสัมผัสกับ กลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้ป่วยใน 7 กลุ่มโรคเสี่ยง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดในสมอง รวมถึงกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เพราะขณะนี้ก็ยังมีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและมีรายงานผู้เสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม 608

ความรุนแรงของโควิด-19 ลดลงแล้ว ยังต้องป้องกันอีกหรือไม่

แม้หลายคนอาจรู้สึกว่า โควิด-19 มีอาการของโรคที่ไม่รุนแรงเท่ากับเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่หายไปไหน โดยอาการและความรุนแรงนั้นแตกต่างกันในแต่ละบุคคล กรมควบคุมโรค แนะนำว่า วัคซีนโควิด-19 ควรฉีดกระตุ้นปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงในกลุ่ม 608 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและความรุนแรงของโรค และลดโอกาสเกิดภาวะ ลองโควิด โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ประชาชนต่างกลับบ้านเพื่อใช้เวลาในวันหยุดยาวและฉลองวันขึ้นปีใหม่ไทยพร้อมกับครอบครัวและญาติมิตร อาจเพิ่มโอกาสในการได้รับเชื้อได้ จึงต้องใส่ใจป้องกันตนเองและคนที่รักอยู่เสมอ

ทำอย่างไร เมื่อผู้ใหญ่กลัววัคซีน

ในยุคที่สามารถรับข้อมูลข่าวสารมาจากหลายทิศทางโดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ที่เข้าถึงได้อย่างง่ายและแพร่หลาย จึงมีโอกาสที่จะได้รับข้อมูลที่เผยแพร่และส่งต่อ ๆ กันมาเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือมาจากแหล่งที่ไม่มีข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการที่เชื่อถือได้และเป็นที่ยอมรับ จนทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยได้ คุณพ่อคุณแม่และญาติผู้ใหญ่ก็เช่นกัน ลูกหลาน ผู้ดูแล รวมถึงคนรอบข้างจึงมีส่วนสำคัญมากในการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะมีความรุนแรงหากเกิดการติดเชื้อโควิด-19 ใน ผู้สูงวัย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง รวมไปถึงดูแลให้พวกท่านสวมหน้ากากอนามัยในการพบปะพูดคุยกับผู้อื่นและหมั่นล้างมือบ่อย ๆ รวมถึงให้เข้ารับวัคซีนกระตุ้นปีละครั้ง (1) ซึ่งควรปรึกษาแพทย์

วัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) (2) ระบุว่า การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยการฉีด วัคซีนโควิด-19 ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตได้ โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้วกว่า 13,000 ล้านโดส (3) ภายใต้การติดตามและเฝ้าระวังความปลอดภัยของวัคซีนหลังการฉีดให้กับประชาชนในแต่ละประเทศ โดยหน่วยงานระดับชาติ รวมถึงในประเทศไทย พบว่า วัคซีนโควิด-19 ช่วยป้องกันการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 14.4 ล้านคนทั่วโลก ขณะที่ WHO ได้ทำการศึกษาทางคลินิกหลังการอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนกับประชาชนในวงกว้างเพื่อรายงานความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน โดยทำการติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินผลอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ ถึงผลข้างเคียงและอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งข้อมูลที่ได้รับบ่งชี้ว่า หลังจากที่มีการใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด mRNA ไปมากกว่าพันล้านโดสทั่วโลกนั้นมีความปลอดภัยดี ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากวัคซีนโควิด-19 พบได้น้อยมาก โดยอาการข้างเคียงที่เจอส่วนใหญ่ไม่ต่างจากวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่มีใช้กันมานาน และอาการไม่รุนแรง ขณะที่ประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อและโรครุนแรงมีมากกว่าความเสี่ยงอย่างเทียบกันไม่ได้ จึงยังคงแนะนำให้ฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง 

วัคซีนโควิด-19 มีอาการข้างเคียงไม่ต่างจากวัคซีนต่างๆ ทั่วไป

ผลจากการติดตามเฝ้าระวังและศึกษาในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA ในประเทศไทย ซึ่งมีการใช้วัคซีน mRNA ไปแล้วเกือบ 50 ล้านโดส พบว่า มีอัตราการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบราว 53 ราย หรือคิดเป็นอัตรา 1 ในล้านซึ่งถือว่าน้อยมาก ทั้งนี้ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจ/เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจากวัคซีน mRNA นั้นเกิดขึ้นได้ แต่อาการจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะ ผู้สูงวัย ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน เช่น จากไวรัสตัวอื่น ๆ หรือจากการติดโควิด-19 เอง หรือจากภาวะลองโควิด ที่สำคัญคือการไม่ได้รับวัคซีนอาจมีโอกาสที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากตัวโรคโควิด-19 ได้มากกว่า (4)

นอกจากนี้ WHO ยังระบุว่า สามารถพบอาการข้างเคียงของวัคซีนโควิด 19 ได้เหมือนกับวัคซีนชนิดอื่น แต่ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราวและไม่รุนแรง เช่น การปวดบริเวณที่ฉีดยา อ่อนเพลีย ไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาการข้างเคียงที่รุนแรงพบได้น้อยมาก แต่หากมีอาการมากขึ้นและไม่หายไปภายใน 2 - 3 วันหลังจากได้รับวัคซีน ควรพบแพทย์ด่วน

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ที่เข้มแข็ง โดยระบบเฝ้าระวังและการติดตามเหตุไม่พึงประสงค์นั้นมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่ การติดตามอาการข้างเคียงรุนแรงที่เกิดกับผู้ได้รับวัคซีน ประการที่สอง หลังการฉีดวัคซีนแก่คนจำนวนมาก มีโอกาสที่บางรายจะเกิดการเจ็บป่วยโดยที่อาการป่วยนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน ในบางรายที่มีอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงหลังจากได้รับวัคซีน อาจทำให้ผู้ป่วยหรือครอบครัวเกิดความสงสัยว่า การเจ็บป่วยนั้นเกิดจากการได้รับวัคซีนก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้การเฝ้าระวังเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนจึงมีการทำงานอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากมีการตรวจพบเหตุไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาจะร่วมสอบสวนสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ โดยมีหลายกรณีที่พบว่า การเจ็บป่วยนั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับการฉีดวัคซีน เช่น ผู้ได้รับวัคซีนมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เป็นต้น

วัคซีนโควิด-19 รุ่นใหม่ ป้องกันเชื้อสายพันธุ์ล่าสุดได้

แนวโน้มของวิวัฒนาการกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอาจมีการชะลอตัว ทว่าการกลายพันธุ์ไปสู่สายพันธุ์ที่ร้ายแรงยังเกิดขึ้นได้ และวัคซีนเข็มกระตุ้นก็ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันที่อาจลดลงจากวัคซีนเข็มก่อนหน้านี้ และเพิ่มการป้องกันไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 ซึ่งมีความเปราะบาง ซึ่งหากติดเชื้อโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงและเป็นอันตรายมากกว่า (5) ทั้งนี้การฉีดวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้น หลังวัคซีนเข็มสุดท้ายที่เคยได้รับมา 6 - 12 เดือน อาจมีความจำเป็น แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากโรคประจำตัวและสภาพร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งขณะนี้วัคซีนรุ่นใหม่ "XBB.1.5 โมโนวาเลนต์" ตัวล่าสุดที่ป้องกันโอไมครอนหลายสายพันธุ์และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่มีต่อสายพันธุ์ JN.1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน ที่ WHO แนะใช้ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ปีนี้ และได้มีการนำเข้าในไทยและมีให้บริการแก่ประชาชน (6)

ข้อมูลอ้างอิง :