เงินเฟ้อปี 67 ชะลอตัวปีที่ 2 'พาณิชย์' ชี้แรงหนุนมาตรการลดค่าครองชีพ

เงินเฟ้อปี 67 ชะลอตัวปีที่ 2 'พาณิชย์' ชี้แรงหนุนมาตรการลดค่าครองชีพ

สนค.วิเคราะห์แนวโน้มเงินเฟ้อปี 67 จะชะลอต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากราคาสินค้า น้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง บวกกับมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ จับตาสถานการณ์ความขัดแย้งโลกส่งผลต่อเงินเฟ้อ

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงแนวโน้มเงินเฟ้อปี 2567 ว่ายังคงชะลอตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ตามแรงกดดันด้านอุปทานที่ทยอยคลี่คลายลง ประกอบกับภาครัฐมีมาตรการเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2567 จะอยู่ระหว่าง -0.3% ถึง  1.7 และค่ากลางอยู่ที่ 0.7% ชะลอตัวจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 1.23%  และเป็นการชะลอตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยมีแนวโน้ม

โดยอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัว มาจาก การเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการ ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 สินค้าและบริการที่ราคามีแนวโน้มลดลง ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง จากฐานที่สูงของปีที่ผ่านมา และแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมทั้งมาตรการด้านพลังงานของภาครัฐ

เงินเฟ้อปี 67 ชะลอตัวปีที่ 2 \'พาณิชย์\' ชี้แรงหนุนมาตรการลดค่าครองชีพ

กลุ่มที่ 2 สินค้าและบริการที่ราคาคงที่หรือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน และค่าโดยสารสาธารณะ ซึ่งราคามีแนวโน้มคงที่ เนื่องจากมีการทยอยปรับราคาไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง ไข่และผลิตภัณฑ์นม ผักสด ผลไม้สด และอาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยเฉพาะราคาสินค้าทางการเกษตรตามภาวะผลผลิตในประเทศและตลาดโลกที่ยังมีข้อจำกัดจากสถานการณ์ภัยแล้ง

กลุ่มที่ 3 สินค้าและบริการที่ราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องประกอบอาหาร และเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและจากฐานราคาที่ต่ำในปีที่ผ่านมา รวมทั้งการเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาครัฐมีมาตรการเพิ่มเติมในเรื่องฟรีวีซ่า จะสร้างอุปสงค์ต่อสินค้าและบริการในภาคท่องเที่ยว ส่งผลให้ราคาค่าโดยสารเครื่องบิน ห้องพักโรงแรม และค่าทัศนาจร ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นเงินเฟ้อในส่วนที่สะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการภาครัฐที่ส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยมาตรการที่ส่งผลโดยตรงได้แก่ การตรึงราคาค่าไฟฟ้าเดือนม.ค. – เม.ย. 2567 สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า 300 หน่วยต่อเดือนไว้ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ดัชนีราคาค่ากระแสไฟฟ้า ลดลง -4.40 % (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ -0.17% )

การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ในช่วงเดือน.ค. – มี.ค. 2567 ส่งผลให้ดัชนีราคาน้ำมันดีเซลลดลง -13.23%  (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ -0.39%) และการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม อยู่ที่ 423 บาทต่อถัง ในช่วงเดือนม.ค. – มี.ค. 2567 ส่งผลให้ดัชนีราคาก๊าซหุงต้มสูงขึ้น 2.12 %  (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 0.01% )

สำหรับมาตรการที่ส่งผลทางอ้อม ได้แก่ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ย 345 บาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 2.37%  ส่งผลต่อคำสั่งซื้อของผู้บริโภคกลุ่มผู้ใช้แรงงาน (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 0.13 – 0.25% ) นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ส่งผลต่อคำสั่งซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่จำกัด (ส่งผลต่อเงินเฟ้อ 0.16 – 0.30% ) และการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งแม้จะยังอยู่ในระดับสูง แต่ภาครัฐได้มีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อรองรับการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งน่าจะสามารถทำให้แรงกดดันต่อสถานการณ์หนี้ครัวเรือนทยอยคลายตัวลง และส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนปรับตัวดีขึ้น

นายพูนพงษ์  กล่าวว่า ผลของปัจจัยและมาตรการดังกล่าว อาจส่งผลต่อเงินเฟ้อมากหรือน้อยกว่าที่คาดการณ์ได้ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้บริโภคและการตอบสนองของผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่มีความไม่แน่นอนและคาดการณ์ไม่ได้ อาทิ การโจมตีเรือขนส่งสินค้าในทะเลแดง เป็นต้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทและภารกิจสำคัญในการดูแลค่าครองชีพของประชาชน จะติดตาม ดูแล และบริหารจัดการราคาสินค้าและบริการอย่างใกล้ชิด ให้ราคาสินค้าและบริการมีความเหมาะสม และไม่สร้างภาระให้กับประชาชน