ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินดิจิทัล ดันค้าปลีกโตเพิ่มอีก 1% ชี้มาตรการไม่ชัด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเงินดิจิทัล ดันค้าปลีกโตเพิ่มอีก 1% ชี้มาตรการไม่ชัด

'ศูนย์วิจัยกสิกรไทย' คาดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นรีเทล เติบโตขึ้นอีก 1% ส่งผลให้ทั้งปีค้าปลีกไทยขยายตัว 4% ชี้ต้องติดตามเงื่อนไขให้ชัดเจน ยังมีความซับซ้อน อาจทำให้ร้านค้าเข้าร่วมโครงการน้อย โดยเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้มีการประเมินถึงโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ต (Digital wallet) ของภาครัฐ จะส่งผลต่อยอดค้าปลีกมากน้อยระดับใด ต้องขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไข ทั้งการกำหนดพื้นที่และประเภทร้านค้า นอกเหนือจากประเด็นทางด้านกฎหมาย รวมถึงระบบการใช้งานของแอปพลิเคชั่นที่ยังต้องรอติดตาม ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ อาจส่งผลต่อร้านค้าปลีกและพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน

ทั้งนี้หากดิจิทัล วอลเล็ตสามารถดำเนินการได้ทันทีในไตรมาส 4 ตามแผนที่วางไว้ อาจส่งผลให้ยอดขายค้าปลีกตลอดปี 2567 มีการเติบโต 4% ขยับขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะโต 3% หรือเพิ่มขึ้นไม่มากประมาณ 1% เป็นการประเมินจากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนฐานธุรกิจค้าปลีกที่น่าจะเพิ่มไม่ถึง 0.55 บาท หากผู้บริโภคมีรายได้เพิ่ม 1 บาท ภายใต้สมมติฐานธุรกรรมเกิดขึ้น 2 รอบ โดยประมาณสองในสามของการใช้จ่ายทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4

 

“ถ้าดิจิทัล วอลเล็ต สามารถดำเนินการได้ตามแผน น่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนบรรยากาศหรือสร้างยอดขายให้กับธุรกิจค้าปลีกในช่วงปลายปีนี้ 2567 ต่อเนื่องถึงต้นปีหน้า 2568 แต่ผลกระตุ้นจะมากหรือน้อยยังคงขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่ยังต้องรอติดตามความชัดเจน”

 

นอกจากนี้การกำหนดเงื่อนไขในการใช้ ดิจิทัล วอลเล็ต ที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของยอดขายค้าปลีกแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบกันทั้ง ยอดขายค้าปลีกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่รวมยอดขายยานพาหนะ และการรับประทานอาหารที่ร้านอาหารที่ผู้บริโภคมีการวางแผนการใช้จ่ายอยู่แล้ว ทำให้การใช้จ่ายกรณีที่มีมาตรการอาจไม่ได้เพิ่มขึ้น หรือเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่เป็นเพียงการนำเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต ที่ได้จากภาครัฐมาใช้แทนเงินในส่วนของตัวเอง

อีกทั้งหากมาตรการมีความล่าช้า รวมถึงผู้บริโภคบางกลุ่มที่ไม่ได้ติดปัญหาเรื่องการกลับไปใช้เงินที่ภูมิลำเนา ก็อาจมีการทยอยใช้เงินหรือวางแผนใช้เงินในปีหน้า จึงอาจส่งผลต่อยอดขายของค้าปลีกในปี 2568 แทน

เงื่อนไขที่ต้องติดตามและมีผลต่อตลาดค้าปลีกและการใช้จ่ายทั้ง

1. กำหนดพื้นที่ในการใช้เงินต้องอยู่ในพื้นที่ตามทะเบียนบ้านเท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภคที่ต่างกัน

  • ผู้บริโภคที่อยู่นอกภูมิลำเนา มีประมาณ 6.6 ล้านคน อาจมีช่วงเวลาให้ใช้จ่ายสั้น และต้องวางแผนการเดินทางเพื่อกลับไปใช้จ่าย เช่น วันหยุดเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้อาจจำเป็นต้องเร่งใช้เงิน และเลือกซื้อสินค้าที่มีมูลค่าต่อครั้งสูงๆ เช่น กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ หรือของใช้ส่วนตัว (เก็บได้นาน ไม่เน่าเสีย) ที่จำเป็นต้องซื้อในปริมาณมากๆ จึงทำให้การใช้จ่ายอาจกระจุกตัวอยู่แค่บางร้านค้าและบางสินค้าเท่านั้น
  • ผู้บริโภคที่พำนักอาศัยอยู่ในภูมิลำเนา อาจไม่จำเป็นต้องรีบใช้จ่ายเหมือนกลุ่มแรก และสามารถซื้อสินค้าที่มีมูลค่าครั้งละไม่มากได้ เช่น ของกิน หรือของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ซึ่งการใช้เงินอาจกระจายได้ในร้านค้าและสินค้าที่หลากหลายกว่า

2. กำหนดเงื่อนไขประเภทของร้านค้าและการถอนเงินสด อาจจำกัดร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะร้านค้าที่เดิมอยู่นอกระบบภาษี ปัจจุบันร้านค้าที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม มีทั้งหมด 1.4 ล้านราย โดยเป็นร้านค้าที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพียง 2.8 แสนราย หรือราว 20% เท่านั้น

ทั้งนี้การใช้ดิจิทัล วอลเล็ต ในรอบแรกระหว่างประชาชนกับร้านค้าหรือร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก จะต้องเป็นร้านที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการในช่วงไตรมาส 3 แต่ร้านค้าจะไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย ซึ่งร้านค้าต้องไปใช้จ่ายกับร้านค้า และร้านค้าที่จะถอนเงินสดได้จะต้องเป็นร้านที่อยู่ในระบบภาษีและเมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่รอบที่ 2 เป็นต้นไป ทำให้ร้านค้าที่จะลงทะเบียนเข้าร่วม ต้องชั่งน้ำหนักความคุ้มค่า ทั้งในมิติของยอดขาย จากการคาดเดาพฤติกรรมของผู้บริโภคว่าจะใช้จ่ายอย่างไร และซื้อสินค้าประเภทไหน รวมถึงในมิติของการถอนเงินตามเงื่อนไขที่กำหนด

แต่หากเป็นร้านค้าขนาดเล็กที่ต้องการเงินสดในทันทีและเดิมไม่ได้อยู่ในระบบภาษี อาจรู้สึกถึงความไม่คุ้มค่าจนตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ร้านค้าที่จะเข้าร่วมสุดท้ายแล้วอาจมีจำนวนน้อยกว่าที่คาดหวัง ส่งผลให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ไปยังร้านค้าต่างๆ อย่างทั่วถึง จะจำกัดลงตามไปด้วย

ทั้งนี้ ผลของมาตรการ อาจไม่ได้หนุนผู้ประกอบการค้าปลีกให้มียอดขายที่ดีขึ้นเท่ากันทุกราย ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมในแต่ละพื้นที่ รวมถึงพฤติกรรมการใช้เงินของผู้บริโภค อีกทั้งยังต้องติดตามเงื่อนไขของมาตรการ ที่อาจเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดได้อีก