จากขนมของฝาก 'เจ้าสัว' สู่บริษัทมหาชน สูตรเร่งโต ดันสแน็คไทยขยายทั่วโลก

จากขนมของฝาก 'เจ้าสัว' สู่บริษัทมหาชน สูตรเร่งโต ดันสแน็คไทยขยายทั่วโลก

เจาะสูตรโตครั้งใหม่ของ เจ้าสัว สแน็คไทย ประกาศแผนครั้งใหญ่ เตรียมพร้อมเข้าสู่บริษัทมหาชน ไอพีโอ ในตลาดหลักทรัพย์ รองรับสร้างโรงงาน - ขยายกำลังการผลิต ดันสแน็คไทยสยายปีกส่งออกไปทั่วโลก

แบรนด์ เจ้าสัว ที่ก่อตั้งจากธุรกิจครอบครัว สู่การเป็นแบรนด์ขนมและของฝากที่ทุกคนต่างคุ้นเคย สามารถอยู่คู่ตลาดในประเทศมาเป็นเวลากว่า 60 ปี พร้อมได้รุกตลาดสแน็คด้วยการสร้างเช็กเมนต์ใหม่กับ สแน็คที่เป็นโปรตีน และสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่ง ภายใต้การขับเคลื่อนของทายาทรุ่นที่  3

ในก้าวต่อไปของแบรนด์เจ้าสัว ได้วางแผนนำธุรกิจครอบครัว ก้าวสู่การเป็น บริษัทมหาชน เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายกำลังการผลิต การสร้างโรงงานและขยายตลาดใหม่ๆ ในประเทศและต่างประเทศ

นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO ผู้ผลิตและทำตลาด แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ “โฮลซัม (Wholesome)”  กล่าวว่า เส้นทางกว่า 60 ปีของบริษัทได้มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยจุดแข็งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรทั้ง ริเริ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) การมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ร่วมกระตุ้นให้อุตสาหกรรมขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่เติบโตต่อเนื่อง

หากประเมินตลาดสแน็คของประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท เป็นตลาดขนมขบเคี้ยวประเภทเนื้อสัตว์ (มีท สแน็ค) มีมูลค่าตลาดประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมา ตลาดขยายตัวมาตลอด และในปีนี้ประเมินว่าจะขยายตัว 10% ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท เป็นผู้นำในตลาดข้าวตัง และตลาดขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู (Pork Snack) ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 78.5% และ 57.2% ตามลำดับ

จากขนมของฝาก \'เจ้าสัว\' สู่บริษัทมหาชน สูตรเร่งโต ดันสแน็คไทยขยายทั่วโลก

อีกทั้งได้วางแนวทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยวางกลยุทธ์ทางการตลาด มุ่งสื่อสารผ่านแบรนด์แอมบาสเดอร์ (Brand Ambassador) ล่าสุด ได้ดึง “เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข” มาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่สนใจดูแลสุขภาพ และเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน ผสมผสานด้วยมุ่งทำตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ส่วนการรุกต่างประเทศได้มีการดึง อินฟลูเอนเซอร์ มาสร้างการรับรู้ให้แบรนด์ เพื่อทำให้แบรนด์ขนมขบเคี้ยว มีภาพลักษณ์ที่สามารถรับประทานได้ทุกวัน

อีกจุดแข็งด้านเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่หลากหลาย ด้วย 4 ช่องทางสำคัญ ทั้ง กลุ่มร้านค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) จำนวนกว่า 2.30 หมื่นแห่งทั่วประเทศ สร้างการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 26.2% ในช่วงปี 2563-2566 กลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) รวมกัน 8,000 แห่ง ผ่านตัวแทนกระจายสินค้า 11 ราย พร้อมได้ทดลองใช้โปรดักส์มิกซ์ ร่วมนำเสนอสินค้าใหม่ ทั้งหมดจึงสร้างความแตกต่างเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย

นอกจากนี้จากในประเทศที่สำคัญแล้ว แบรนด์มีการส่งออกสแน็คไทยใน 12 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และออสเตรเลีย เป็นต้น พร้อมมีแผนขยายตลาดสแน็คไทยไปในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละประเทศ ส่วนช่องทางอื่นๆ เช่น Shopee, Lazada, Facebook Live, TikTok Shop เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู ซึ่งรวมถึงหมูแท่ง สร้างยอดขายช่วงปี 2564-2566 เติบโตเฉลี่ยต่อปี 35.3%

อีกทั้งได้มุ่งบริหารจัดการต้นทุน จากความเข้าใจโครงสร้างต้นทุนของวัตถุดิบ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบต่างๆ ในประเทศ จึงสามารถเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงได้ลงทุนระบบอัตโนมัติในโรงงาน เพื่อบริหารต้นทุนการผลิตและการบริหารสินค้าคงคลัง

ล่าสุด บริษัทได้วางแผนสร้างการเติบโตของธุรกิจไปอีกขั้น สู่การเป็นบริษัทมหาชน ด้วยการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเจ้าสัว หรือ CHAO ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แล้ว และ สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว

ทั้งนี้มีแผนเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวนไม่เกิน 87.7 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 29.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท โดยมีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนหนึ่งไปใช้ในการพัฒนาระบบอัตโนมัติและการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ ขยายกำลังการผลิต การก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 พร้อมลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงานและดูแลสิ่งแวดล้อม และใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมให้แก่สถาบันการเงิน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บริษัทคาดการว่าจากแผนการขยายธุรกิจและการรุกตลาด เพิ่มช่องทางกระจายสินค้าและขยายกลุ่มเป้าหมาย จะสร้างผลประกอบการรวมเติบโต 15% จากปีก่อน ที่มียอดขายรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท